สัญญาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส (WTI) ตลาดนิวยอร์กปิดลบในวันจันทร์ (27 ก.พ.) โดยตลาดถูกกดดันจากความกังวลที่ว่า ข้อมูลเศรษฐกิจที่แข็งแกร่งเกินคาดของสหรัฐอาจจะผลักดันให้ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) เดินหน้าปรับขึ้นดอกเบี้ย ซึ่งจะส่งผลให้เศรษฐกิจและความต้องการใช้น้ำมันชะลอตัวลง
ทั้งนี้ สัญญาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือนเม.ย. ลดลง 64 เซนต์ หรือ 0.84% ปิดที่ 75.68 ดอลลาร์/บาร์เรล
ส่วนสัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ (BRENT) ส่งมอบเดือนเม.ย. ลดลง 71 เซนต์ หรือ 0.85% ปิดที่ 82.45 ดอลลาร์/บาร์เรล
กระทรวงพาณิชย์สหรัฐเปิดเผยว่า ยอดสั่งซื้อสินค้าคงทนพื้นฐาน ซึ่งเป็นคำสั่งซื้อสินค้าทุนที่ไม่รวมเครื่องบินและสินค้าด้านอาวุธ และเป็นข้อมูลบ่งชี้ถึงแผนการใช้จ่ายของภาคธุรกิจนั้น ปรับตัวขึ้น 0.8% ในเดือนม.ค. สูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดว่าจะขยับขึ้นเพียง 0.1% หลังจากร่วงลง 0.3% ในเดือนธ.ค.
ไรอัน เดทริค นักวิเคราะห์จากบริษัท Carson Group กล่าวว่า นักลงทุนกังวลว่าข้อมูลเศรษฐกิจที่แข็งแกร่งเกินคาดอาจจะทำให้เฟดปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยต่อไป โดยล่าสุดมีกระแสคาดการณ์ว่าเฟดอาจจะปรับขึ้นดอกเบี้ย 0.50% ในการประชุมเดือนหน้า
เควิน คัมมิ่นส์ หัวหน้านักวิเคราะห์ของ NatWest Markets คาดการณ์ว่า เฟดมีโอกาสปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 0.50% ในการประชุมวันที่ 21-22 มี.ค. มากกว่าที่จะปรับขึ้น 0.25% หลังสหรัฐเปิดเผยดัชนีราคาการใช้จ่ายเพื่อการบริโภคส่วนบุคคล (PCE) ที่สูงกว่าคาดในเดือนม.ค. โดยดัชนี PCE เป็นมาตรวัดเงินเฟ้อที่สามารถตรวจจับการเปลี่ยนแปลงในพฤติกรรมของผู้บริโภค และครอบคลุมราคาสินค้าและบริการในวงกว้างมากกว่าดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI)
อย่างไรก็ดี สัญญาน้ำมันดิบลดช่วงลบ หลังจากมีรายงานล่าสุดว่ารัสเซียได้ระงับการส่งออกน้ำมันไปยังโปแลนด์ผ่านทางท่อส่งน้ำมันดรูซบา หลังจากที่ก่อนหน้านี้รัสเซียได้ประกาศว่าจะลดการส่งออกน้ำมันจากท่าเรือตะวันตกจำนวน 25% ในเดือนมี.ค.
นักลงทุนจับตารายงานสต็อกน้ำมันดิบจากสำนักงานสารสนเทศด้านพลังงานของรัฐบาลสหรัฐ (EIA) โดย EIA จะเปิดเผยข้อมูลดังกล่าวในวันพุธนี้ เวลา 22.30 น.ตามเวลาไทย