สัญญาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส (WTI) ตลาดนิวยอร์กปิดบวกในวันจันทร์ (6 มี.ค.) หลังจากผู้บริหารของบริษัทพลังงานรายใหญ่ระบุว่า อุปทานน้ำมันในตลาดโลกอยู่ในภาวะตึงตัว และคาดว่าอุปสงค์น้ำมันในประเทศจีนจะฟื้นตัวขึ้น
ทั้งนี้ สัญญาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือนเม.ย. เพิ่มขึ้น 78 เซนต์ หรือ 1% ปิดที่ 80.46 ดอลลาร์/บาร์เรล
ส่วนสัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ (BRENT) ส่งมอบเดือนพ.ค. เพิ่มขึ้น 35 เซนต์ หรือ 0.4% ปิดที่ 86.18 ดอลลาร์/บาร์เรล
ในช่วงแรกนั้น สัญญาน้ำมันดิบปรับตัวลง หลังจากจีนซึ่งเป็นประเทศที่ใช้น้ำมันมากที่สุดเป็นอันดับ 2 ของโลก กำหนดเป้าหมายการขยายตัวทางเศรษฐกิจในปีนี้ที่ราว 5% ซึ่งต่ำกว่าการคาดการณ์ของตลาดที่ 5.5%
แต่สัญญาน้ำมันดิบดีดตัวขึ้นในเวลาต่อมา หลังจากนายไมค์ เวิร์ธ ซีอีโอของบริษัทเชฟรอนกล่าวในการประชุมพลังงาน "CERAWeek" ว่า ตลาดน้ำมันและระบบโลจิสติกส์อยู่ในภาวะตึงตัวและมีความเปราะบางต่อภาวะติดขัดด้านอุปทาน และแม้ว่าน้ำมันจากรัสเซียยังคงไหลเข้าสู่ตลาด แต่ก็มีราคาที่แตกต่างกัน
ขณะที่นายทอร์บจอห์น ทอร์นควิสต์ ซีอีโอของบริษัทกุนวอร์ คาดการณ์ว่า ราคาน้ำมันดิบจะปรับขึ้นในไตรมาส 2 ปีนี้ เนื่องจากอุปสงค์จีนกลับเข้าสู่ตลาด
ตลาดยังได้แรงหนุนจากข่าวซาอุดีอาระเบียปรับขึ้นราคาน้ำมันดิบประเภท "Arab Light" ที่ขายให้กับลูกค้าในเอเชียติดต่อกันเป็นเดือนที่ 2 ในเดือนเม.ย. ขณะที่การอ่อนค่าของดอลลาร์เป็นปัจจัยบวกต่อตลาดน้ำมันเช่นกัน
ทั้งนี้ ดัชนีดอลลาร์ ซึ่งเป็นดัชนีวัดความเคลื่อนไหวของดอลลาร์เมื่อเทียบกับสกุลเงินหลัก 6 สกุลในตะกร้าเงิน ปรับตัวลง 0.17% แตะที่ระดับ 104.3503 เมื่อคืนนี้ ส่งผลให้สัญญาน้ำมันดิบซึ่งกำหนดราคาเป็นดอลลาร์นั้น มีราคาถูกลงและน่าดึงดูดใจสำหรับนักลงทุนที่ถือครองสกุลเงินอื่น ๆ