สัญญาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส (WTI) ตลาดนิวยอร์กร่วงลงกว่า 5% ปิดที่ระดับต่ำสุดในรอบกว่า 1 ปีในวันพุธ (15 มี.ค.) โดยตลาดถูกกดดันจากความกังวลเกี่ยวกับวิกฤตการณ์ด้านการเงินของธนาคารเครดิต สวิส
ทั้งนี้ สัญญาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือนเม.ย. ร่วงลง 3.72 ดอลลาร์ หรือ 5.2% ปิดที่ 67.61 ดอลลาร์/บาร์เรล
ส่วนสัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ (BRENT) ส่งมอบเดือนพ.ค. ดิ่งลง 3.76 ดอลลาร์ หรือ 4.9% ปิดที่ 73.69 ดอลลาร์/บาร์เรล
สัญญาน้ำมัน WTI และสัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ต่างก็ปิดที่ระดับต่ำสุดนับตั้งแต่เดือนธ.ค. 2564 และปรับตัวลงติดต่อกันเป็นวันที่ 3 โดยปัจจัยฉุดตลาดล่าสุดนั้น มาจากความวิตกกังวลเกี่ยวกับสถานะการเงินของธนาคารเครดิตสวิส ซึ่งเป็นธนาคารรายใหญ่เป็นอันดับ 2 ของสวิตเซอร์แลนด์ หลังจากธนาคารซาอุดี เนชั่นแนล แบงก์ (Saudi National Bank) หรือ SNB ซึ่งเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ที่สุดของเครดิต สวิส ประกาศว่า SNB ไม่สามารถเพิ่มความช่วยเหลือทางการเงินต่อเครดิต สวิส เนื่องจากจะทำให้ SNB ถือหุ้นในเครดิต สวิสมากกว่า 10% ซึ่งจะเป็นการทำผิดกฎระเบียบธนาคาร
สถานการณ์ที่เกิดขึ้นกับเครดิต สวิส ถือเป็นการซ้ำเติมความกังวลจากการที่รัฐบาลสหรัฐสั่งปิดกิจการของซิลิคอน วัลเลย์ แบงก์ (Silicon Valley Bank) และซิกเนเจอร์ แบงก์ (Signature Bank)
ตลาดน้ำมันยังถูกกดดันจากรายงานของสำนักงานสารสนเทศด้านการพลังงานของรัฐบาลสหรัฐ (EIA) ซึ่งระบุว่า สต็อกน้ำมันดิบสหรัฐพุ่งขึ้น 1.6 ล้านบาร์เรลในสัปดาห์ที่แล้ว มากกว่าที่นักวิเคราะห์คาดว่าจะเพิ่มขึ้นเพียง 100,000 บาร์เรล
นอกจากนี้ การแข็งค่าของดอลลาร์ยังส่งผลกระทบตลาดน้ำมัน โดยทำให้สัญญาน้ำมันดิบซึ่งกำหนดราคาเป็นดอลลาร์นั้น มีราคาแพงขึ้นและไม่น่าดึงดูดใจสำหรับนักลงทุนที่ถือครองสกุลเงินอื่น ๆ
อย่างไรก็ดี สัญญาน้ำมันดิบได้รับแรงหนุนในระหว่างวัน จากการที่กลุ่มประเทศผู้ส่งออกน้ำมัน (โอเปก) ปรับเพิ่มคาดการณ์การขยายตัวของอุปสงค์น้ำมันในจีนปี 2566 หลังจากจีนยกเลิกนโยบายโควิดเป็นศูนย์ โดยโอเปกคาดว่า อุปสงค์น้ำมันของจีนจะเพิ่มขึ้น 710,000 บาร์เรล/วันในปี 2566 ซึ่งเพิ่มขึ้นจากการคาดการณ์ในเดือนที่แล้วที่ระดับ 590,000 บาร์เรล/วัน