สัญญาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส (WTI) ตลาดนิวยอร์กปิดร่วงลงกว่า 1% ในวันพฤหัสบดี (13 เม.ย.) หลังจากกลุ่มประเทศผู้ส่งออกน้ำมัน (โอเปก) ระบุว่า ความต้องการใช้น้ำมันในช่วงฤดูร้อนมีความเสี่ยงที่จะชะลอตัวลง นอกจากนี้ ตลาดยังถูกกดดันจากการที่นักลงทุนเทขายทำกำไรหลังจากราคาน้ำมันพุ่งขึ้นติดต่อกัน 2 วันทำการ
ทั้งนี้ สัญญาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือนพ.ค. ลดลง 1.1 ดอลลาร์ หรือ 1.32% ปิดที่ 82.16 ดอลลาร์/บาร์เรล
ส่วนสัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ (BRENT) ส่งมอบเดือนมิ.ย. ลดลง 1.24 ดอลลาร์ หรือ 1.42% ปิดที่ 86.09 ดอลลาร์/บาร์เรล
สัญญาน้ำมันดิบร่วงลง หลังจากรายงานประจำเดือนของกลุ่มโอเปกระบุว่า ความต้องการใช้น้ำมันในช่วงฤดูร้อนมีความเสี่ยงที่จะชะลอตัวลง ซึ่งความกังวลดังกล่าวเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้กลุ่มโอเปกและชาติพันธมิตร (โอเปกพลัส) ตัดสินใจประกาศลดการผลิตน้ำมันลง 1.16 ล้านบาร์เรล/วันจนถึงสิ้นปี 2566
รายงานดังกล่าวยังระบุด้วยว่า โอเปกคาดการณ์ว่าความต้องการใช้น้ำมันในปี 2566 จะเพิ่มขึ้น 2.32 ล้านบาร์เรล/วัน หรือประมาณ 2.3% ซึ่งไม่เปลี่ยนแปลงจากตัวเลขคาดการณ์ในเดือนที่แล้ว
นอกจากนี้ ตลาดยังถูกกดดันจากการที่นักลงทุนเทขายทำกำไรหลังจากราคาน้ำมันพุ่งขึ้นติดต่อกัน 2 วันทำการ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในวันพุธซึ่งราคาน้ำมัน WTI และน้ำมันเบรนท์พุ่งขึ้นกว่า 2% แตะระดับสูงสุดในรอบกว่า 1 เดือน อันเนื่องมาจากการคาดการณ์ที่ว่าธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จะระงับการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย หลังจากกระทรวงแรงงานสหรัฐเปิดเผยว่าดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) ซึ่งเป็นมาตรวัดเงินเฟ้อจากการใช้จ่ายของผู้บริโภค ปรับตัวขึ้น 5.0% ในเดือนมี.ค. เมื่อเทียบรายปี ต่ำกว่าตัวเลขคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ที่ระดับ 5.1% และชะลอตัวจากระดับ 6.0% ในเดือนก.พ.