สัญญาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส (WTI) ตลาดนิวยอร์กปิดร่วงลงกว่า 2% ในวันพุธ (19 เม.ย.) โดยตลาดถูกกดดันจากการแข็งค่าของดอลลาร์ และความกังวลที่ว่าการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจและความต้องการใช้น้ำมัน
ทั้งนี้ สัญญาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือนพ.ค. ร่วงลง 1.70 ดอลลาร์ หรือ 2.1% ปิดที่ 79.16 ดอลลาร์/บาร์เรล
ส่วนสัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ (BRENT) ส่งมอบเดือนมิ.ย. ลดลง 1.65 ดอลลาร์ หรือ 2.0% ปิดที่ 83.12 ดอลลาร์/บาร์เรล
สัญญาน้ำมัน WTI และน้ำมันเบรนท์ต่างก็ปิดที่ระดับต่ำสุดนับตั้งแต่วันที่ 31 มี.ค.ปีนี้ เนื่องจากการแข็งค่าของดอลลาร์ส่งผลให้สัญญาน้ำมันดิบซึ่งกำหนดราคาเป็นดอลลาร์นั้น มีราคาแพงขึ้นและไม่น่าดึงดูดใจสำหรับนักลงทุนที่ถือครองสกุลเงินอื่น ๆ โดยดัชนีดอลลาร์ ซึ่งเป็นดัชนีวัดความเคลื่อนไหวของดอลลาร์เมื่อเทียบกับสกุลเงินหลัก 6 สกุลในตะกร้าเงิน เพิ่มขึ้น 0.23% แตะที่ระดับ 101.9695 เมื่อคืนนี้
นักวิเคราะห์จากบริษัท Ritterbusch and Associates กล่าวว่า นอกเหนือจากการแข็งค่าของดอลลาร์แล้ว ตลาดยังถูกกดดันจากการที่นักลงทุนลดการซื้อสินทรัพย์เสี่ยง หลังมีรายงานว่าอัตราเงินเฟ้อในยูโรโซนยังคงอยู่ในระดับสูง ขณะที่อัตราเงินเฟ้อในอังกฤษสูงกว่าระดับ 10% และอยู่ในระดับสูงสุดของยุโรปตะวันตก
นอกจากนี้ ตลาดยังได้รับผลกระทบจากความกังวลว่า การเดินหน้าปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของเฟดจะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจและความต้องการใช้น้ำมัน โดยนักลงทุนคาดการณ์ว่า เฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอีก 0.25% ในการประชุมเดือนพ.ค.เพื่อสกัดเงินเฟ้อ
ทั้งนี้ การแข็งค่าของดอลลาร์และความกังวลเกี่ยวกับภาวะดอกเบี้ยขาขึ้นได้บดบังปัจจัยบวกจากรายงานของสำนักงานสารสนเทศด้านการพลังงานของรัฐบาลสหรัฐ (EIA) ซึ่งระบุว่า สต็อกน้ำมันดิบสหรัฐลดลง 4.6 ล้านบาร์เรลในสัปดาห์ที่แล้ว มากกว่าที่นักวิเคราะห์คาดว่าจะลดลงเพียง 400,000 บาร์เรล