สัญญาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส (WTI) ตลาดนิวยอร์กปิดบวกในวันพฤหัสบดี (27 เม.ย.) เนื่องจากนักลงทุนช้อนซื้อหลังจากราคาน้ำมันร่วงลงติดต่อกัน 2 วันทำการ นอกจากนี้ ตลาดยังได้แรงหนุนหลังจากเจ้าหน้าที่รัสเซียงระบุว่า กลุ่มประเทศผู้ส่งออกน้ำมัน (โอเปก) และชาติพันธมิตร หรือโอเปกพลัส ยังไม่มีความจำเป็นที่จะต้องปรับลดกำลังการผลิตน้ำมันเพิ่มเติม
ทั้งนี้ สัญญาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือนมิ.ย. เพิ่มขึ้น 46 เซนต์ หรือ 0.62% ปิดที่ 74.76 ดอลลาร์/บาร์เรล
ส่วนสัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ (BRENT) ส่งมอบเดือนมิ.ย. เพิ่มขึ้น 68 เซนต์ หรือ 0.88% ปิดที่ 78.37 ดอลลาร์/บาร์เรล
วลาดิเมียร์ เซอร์นอฟ นักวิเคราะห์จากบริษัท FX Empire กล่าวว่า ราคาน้ำมันดีดตัวขึ้นจากการที่นักลงทุนเข้ามาช้อนซื้อ หลังจากราคาร่วงลงติดต่อกัน 2 วันทำการ โดยเฉพาะในวันพุธซึ่งราคาน้ำมันดิ่งลงเกือบ 4% นอกจากนี้ การที่นักลงทุนเริ่มกลับเข้าซื้อสินทรัพย์เสี่ยงในตลาดการเงิน ก็เป็นอีกหนึ่งในปัจจัยที่ช่วยกระตุ้นแรงซื้อในตลาดน้ำมันด้วย
ตลาดน้ำมันยังได้รับปัจจัยบวกจากการที่นายอเล็กซานเดอร์ โนวัค รองนายกรัฐมนตรีรัสเซียกล่าวว่า กลุ่มโอเปกพลัสยังไม่เห็นถึงความจำเป็นในการปรับลดกำลังการผลิตน้ำมันเพิ่มเติมในขณะนี้ แต่โอเปกพลัสสามารถปรับนโยบายการผลิตได้ตลอดเวลา
ทั้งนี้ รัสเซียเป็นหนึ่งในประเทศสมาชิกโอเปกพลัสที่ลงมติปรับลดการผลิตน้ำมันลงอีก 1.16 ล้านบาร์เรล/วันไปจนถึงสิ้นปี 2566 ซึ่งเป็นการดำเนินการที่เหนือความคาดหมาย และสร้างความไม่พอใจให้กับสหรัฐ เนื่องจากทำให้ราคาน้ำมันปรับตัวสูงขึ้น
นักลงทุนจับตาข้อมูลเศรษฐกิจของประเทศต่าง ๆ ซึ่งรวมถึงตัวเลขผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) ประจำไตรมาส 1/2566 ของกลุ่มยูโรโซน โดยคาดว่าข้อมูลดังกล่าวจะมีผลต่อการตัดสินใจของธนาคารกลางยุโรป (ECB) ในการประชุมนโยบายการเงินวันที่ 4 พ.ค.นี้
สำหรับข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐที่มีการเปิดเผยเมื่อคืนนี้ กระทรวงพาณิชย์สหรัฐเปิดเผยว่าตัวเลข GDP ขยายตัวเพียง 1.1% ในไตรมาส 1/2566 ซึ่งต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 2.0% และกระทรวงแรงงานสหรัฐเปิดเผยตัวเลขผู้ยื่นขอสวัสดิการว่างงานครั้งแรกลดลง 16,000 ราย สู่ระดับ 230,000 รายในสัปดาห์ที่แล้ว สวนทางนักวิเคราะห์ที่คาดว่าเพิ่มขึ้นสู่ระดับ 249,000 ราย
นักลงทุนรอดูการเปิดเผยดัชนีราคาการใช้จ่ายเพื่อการบริโภคส่วนบุคคล (PCE) เดือนมี.ค.ของสหรัฐในวันนี้ โดยดัชนี PCE เป็นข้อมูลเงินเฟ้อสำคัญตัวสุดท้ายก่อนที่ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จะจัดการประชุมนโยบายการเงินในวันที่ 2-3 พ.ค.