สัญญาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส (WTI) ตลาดนิวยอร์กปิดพุ่งขึ้นในวันศุกร์ (5 พ.ค.) เนื่องจากนักลงทุนขานรับการเปิดเผยข้อมูลการจ้างงานที่แข็งแกร่งของสหรัฐ และคลายความวิตกเกี่ยวกับภาวะเศรษฐกิจถดถอยซึ่งจะส่งผลกระทบต่อความต้องการใช้น้ำมัน
ทั้งนี้ สัญญาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือนมิ.ย. พุ่งขึ้น 2.78 ดอลลาร์ หรือ 4.1% ปิดที่ 71.34 ดอลลาร์/บาร์เรล แต่ยังคงร่วงลง 7.1% ในรอบสัปดาห์นี้
ส่วนสัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ (BRENT) ส่งมอบเดือนก.ค. พุ่งขึ้น 2.80 ดอลลาร์ หรือ 3.9% ปิดที่ 75.30 ดอลลาร์/บาร์เรล แต่ยังคงร่วงลง 6.3% ในรอบสัปดาห์นี้
บรรดานักลงทุนคลายความวิตกเกี่ยวกับภาวะเศรษฐกิจถดถอยและกลับเข้าซื้อสินทรัพย์เสี่ยงอีกครั้งในวันศุกร์ หลังการเปิดเผยข้อมูลการจ้างงานที่แข็งแกร่งของสหรัฐ และหุ้นกลุ่มธนาคารภูมิภาคของสหรัฐฟื้นตัวขึ้น
กระทรวงแรงงานสหรัฐเปิดเผยว่า ตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตรปรับตัวเพิ่มขึ้น 253,000 ตำแหน่งในเดือนเม.ย. มากกว่าการคาดการณ์ของตลาดที่คาดว่าอาจเพิ่มขึ้นเพียง 180,000 ตำแหน่ง แม้เศรษฐกิจสหรัฐชะลอตัวลงและเกิดวิกฤติภาคธนาคาร ส่วนอัตราการว่างงานลดลงสู่ระดับ 3.4% ขณะที่นักวิเคราะห์คาดไว้ว่าอาจอยู่ที่ 3.6% และทำสถิติต่ำสุดนับตั้งแต่ปี 2512 ขณะเดียวกันตัวเลขค่าจ้างรายชั่วโมงโดยเฉลี่ยของแรงงาน ซึ่งเป็นมาตรวัดเงินเฟ้อที่สำคัญตัวหนึ่งนั้น เพิ่มขึ้น 0.5% เมื่อเทียบรายเดือน และเพิ่มขึ้น 4.4% เมื่อเทียบรายปี ซึ่งมากกว่าตัวเลขคาดการณ์ทั้งรายเดือนและรายปี
นายวลาดิเมียร์ เซอร์นอฟ นักวิเคราะห์ของเอฟเอ็กซ์ เอ็มไพร์ ซึ่งให้บริการข้อมูลตลาดบ่งชี้ว่า ราคาน้ำมันดิบ WTI ทะยานขึ้น เนื่องจากความวิตกเกี่ยวกับภาวะเศรษฐกิจถดถอยคลี่คลายลง หลังการเปิดเผยข้อมูลการจ้างงานที่แข็งแกร่ง
นอกจากนี้ ตลาดน้ำมันยังได้แรงหนุนจากการที่แท่นขุดเจาะน้ำมันในสหรัฐและแคนาดาลดลง โดยเบเกอร์ ฮิวจ์ ผู้ให้บริการขุดเจาะน้ำมันของสหรัฐระบุว่า จำนวนแท่นขุดเจาะน้ำมันในสหรัฐและแคนาดาลดลง 3 และ 2 แท่น สู่ระดับ 588 และ 34 แท่นตามลำดับ