สัญญาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส (WTI) ตลาดนิวยอร์กปิดพุ่งขึ้นกว่า 3% ในวันพฤหัสบดี (15 มิ.ย.) โดยได้แรงหนุนจากการอ่อนค่าของดอลลาร์ รวมทั้งรายงานการกลั่นน้ำมันเพิ่มขึ้นในประเทศจีน ซึ่งบ่งชี้ว่าอุปสงค์น้ำมันในจีนปรับตัวสูงขึ้น
ทั้งนี้ สัญญาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือนก.ค. เพิ่มขึ้น 2.35 ดอลลาร์ หรือ 3.44% ปิดที่ 70.62 ดอลลาร์/บาร์เรล
ส่วนสัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ (BRENT) ส่งมอบเดือนส.ค. เพิ่มขึ้น 2.47 ดอลลาร์ หรือ 3.37% ปิดที่ 75.67 ดอลลาร์/บาร์เรล
ราคาน้ำมัน WTI กลับมายืนที่เหนือระดับ 70 ดอลลาร์ได้อีกครั้ง และปิดที่ระดับสูงสุดนับตั้งแต่วันที่ 8 มิ.ย. หลังจากจีนซึ่งเป็นผู้นำเข้าน้ำมันดิบรายใหญ่ของโลกระบุว่า ปริมาณการกลั่นน้ำมันในจีนพุ่งขึ้น 15.4% ในเดือนพ.ค. เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2565 แตะระดับสูงสุดเป็นอันดับ 2 นับตั้งแต่ที่มีการรวบรวมข้อมูลดังกล่าว
ตลาดน้ำมันยังได้ปัจจัยบวกจากการที่จีนปรับลดอัตราดอกเบี้ยเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ โดยธนาคารกลางจีนประกาศลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ระยะกลาง (MLF) ระยะ 1 ปีซึ่งเป็นอัตราดอกเบี้ยนโยบายของจีน ลง 0.10% สู่ระดับ 2.65% จากระดับ 2.75% และเป็นการปรับลดดอกเบี้ยดังกล่าวครั้งแรกในรอบ 10 เดือน
นอกจากนี้ การอ่อนค่าของดอลลาร์ยังเป็นปัจจัยดึงดูดแรงซื้อในตลาดน้ำมัน โดยดัชนีดอลลาร์ ซึ่งเป็นดัชนีวัดความเคลื่อนไหวของดอลลาร์เมื่อเทียบกับสกุลเงินหลัก 6 สกุลในตะกร้าเงิน ดิ่งลงแตะระดับ 102.0910 เมื่อคืนนี้
นักวิเคราะห์จากยูบีเอสคาดการณ์ว่า การที่ซาอุดีอาระเบียประกาศลดกำลังการผลิตน้ำมันลง 1 ล้านบาร์เรล/วัน สู่ระดับ 9 ล้านบาร์เรล/วัน ซึ่งจะมีผลตั้งแต่เดือนก.ค. และเป็นการปรับลดกำลังการผลิตครั้งใหญ่ที่สุดในรอบหลายปีนั้น จะทำให้อุปทานน้ำมันในตลาดโลกลดลง และจะเป็นปัจจัยหนุนราคาน้ำมัน