สัญญาน้ำมันดิบ WTI ดิ่งลงกว่า 4% ใกล้หลุดระดับ 69 ดอลลาร์ ท่ามกลางความกังวลเกี่ยวกับการเดินหน้าปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) รวมทั้งการที่ธนาคารกลางอังกฤษ (BoE) ประกาศขึ้นอัตราดอกเบี้ยมากกว่าคาดในวันนี้
ณ เวลา 00.23 น.ตามเวลาไทย สัญญาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส (WTI) ส่งมอบเดือนส.ค. ซึ่งมีการซื้อขายที่ตลาด NYMEX ลบ 3.30 ดอลลาร์ หรือ 4.55% สู่ระดับ 69.23 ดอลลาร์/บาร์เรล
ทั้งนี้ BoE มีมติ 7-2 ประกาศปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 0.50% สู่ระดับ 5.00% ซึ่งเป็นระดับสูงสุดนับตั้งแต่ปี 2551 ในการประชุมวันนี้ ขณะที่ตลาดคาดการณ์ว่า BoE จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเพียง 0.25%
BoE ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเป็นครั้งที่ 13 ติดต่อกันเพื่อสกัดเงินเฟ้อ หลังจากที่ดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) พื้นฐาน ซึ่งไม่รวมหมวดอาหารและพลังงาน ดีดตัวสู่ระดับ 7.1% ในเดือนพ.ค ซึ่งเป็นระดับสูงสุดนับตั้งแต่เดือนมี.ค.2535
นายเจอโรม พาวเวล ประธานเฟด ยังคงย้ำเป็นวันที่ 2 ว่าเฟดจะเดินหน้าปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเพื่อสกัดเงินเฟ้อ
นายพาวเวลกล่าวในวันนี้ว่า เฟดจำเป็นที่จะต้องปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยต่อไป แม้การดำเนินการดังกล่าวส่งผลกระทบต่อการจ้างงาน
"เฟดมองว่าเป็นเรื่องเหมาะสมที่จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยต่อไปในปีนี้ โดยอาจปรับขึ้นอีก 2 ครั้ง หากเศรษฐกิจปรับตัวตามที่คาดการณ์ไว้" นายพาวเวลกล่าว พร้อมเสริมว่า เจ้าหน้าที่เฟดส่วนใหญ่คิดว่าเฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 0.25% อีก 2 ครั้งภายในสิ้นปีนี้ ซึ่งจะทำให้อัตราดอกเบี้ยนโยบายของเฟดอยู่ในกรอบ 5.50-5.75%
นอกจากนี้ ราคาน้ำมันยังถูกกดดันจากการแข็งค่าของดอลลาร์ ซึ่งจะลดความน่าดึงดูดของสัญญา โดยทำให้สัญญาน้ำมันมีราคาแพงขึ้นสำหรับผู้ถือครองเงินสกุลอื่น
สำนักงานสารสนเทศด้านการพลังงานของรัฐบาลสหรัฐ (EIA) เปิดเผยว่า สต็อกน้ำมันดิบสหรัฐลดลง 3.8 ล้านบาร์เรลในสัปดาห์ที่แล้ว สวนทางนักวิเคราะห์ที่คาดว่าเพิ่มขึ้น 300,000 บาร์เรล
EIA ยังเปิดเผยว่า สต็อกน้ำมันดิบที่เมืองคูชิง รัฐโอกลาโฮมา ซึ่งเป็นจุดส่งมอบสัญญาน้ำมันดิบล่วงหน้าของสหรัฐ ลดลง 98,000 บาร์เรล
สต็อกน้ำมันเบนซินเพิ่มขึ้น 500,000 บาร์เรลในสัปดาห์ที่แล้ว ขณะที่นักวิเคราะห์คาดว่าเพิ่มขึ้น 100,000 บาร์เรล
สต็อกน้ำมันกลั่น ซึ่งรวมถึงฮีตติ้งออยล์และน้ำมันดีเซล เพิ่มขึ้น 400,000 บาร์เรลในสัปดาห์ที่แล้ว ขณะที่นักวิเคราะห์คาดว่าเพิ่มขึ้น 700,000 บาร์เรล