สัญญาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส (WTI) ตลาดนิวยอร์กปิดพุ่งขึ้นในวันพุธ (28 มิ.ย.) หลังสหรัฐเปิดเผยสต็อกน้ำมันดิบลดลงมากกว่าคาด ซึ่งข้อมูลดังกล่าวช่วยบดบังปัจจัยลบจากความกังวลเกี่ยวกับผลกระทบของอัตราดอกเบี้ยขาขึ้น
ทั้งนี้ สัญญาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือนส.ค. เพิ่มขึ้น 1.86 ดอลลาร์ หรือ 2.75% ปิดที่ 69.56 ดอลลาร์/บาร์เรล
ส่วนสัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ (BRENT) ส่งมอบเดือนส.ค. เพิ่มขึ้น 1.77 ดอลลาร์ หรือ 2.45% ปิดที่ 74.03 ดอลลาร์/บาร์เรล
สัญญาน้ำมันดิบดีดตัวขึ้น หลังจากสำนักงานสารสนเทศด้านการพลังงานของรัฐบาลสหรัฐ (EIA) เปิดเผยว่า สต็อกน้ำมันดิบสหรัฐร่วงลง 9.6 ล้านบาร์เรลในสัปดาห์ที่สิ้นสุดวันที่ 23 มิ.ย. ซึ่งมากกว่าที่นักวิเคราะห์คาดว่าจะลดลงเพียง 1.8 ล้านบาร์เรล
ส่วนสต็อกน้ำมันเบนซินเพิ่มขึ้นเพียง 600,000 บาร์เรล เทียบกับที่นักวิเคราะห์คาดว่าจะเพิ่มขึ้น 1 ล้านบาร์เรล และสต็อกน้ำมันกลั่น ซึ่งรวมถึงฮีตติ้งออยล์และน้ำมันดีเซลเพิ่มขึ้น 120,000 บาร์เรล ขณะที่นักวิเคราะห์คาดว่าจะเพิ่มขึ้น 800,000 บาร์เรล
ทั้งนี้ การลดลงของสต็อกน้ำมันดิบสะท้อนให้เห็นว่าอุปสงค์พลังงานในสหรัฐยังคงแข็งแกร่ง และช่วยบดบังปัจจัยลบจากความกังวลเกี่ยวกับภาวะอัตราดอกเบี้ยขาขึ้น โดยล่าสุดนายเจอโรม พาวเวล ประธานธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) กล่าวในงานเสวนาที่ประเทศโปรตุเกสเมื่อวานนี้ว่า ในช่วงไตรมาสที่ผ่านมา เศรษฐกิจสหรัฐขยายตัวแข็งแกร่งเกินคาด ขณะที่ตลาดแรงงานอยู่ในภาวะตึงตัวมากกว่าคาด และเงินเฟ้อสูงกว่าคาดเช่นกัน พร้อมกับส่งสัญญาณว่าเฟดอาจจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในการประชุม 2 ครั้งติดต่อกัน โดยการประชุมเฟดครั้งถัดไปจะมีขึ้นในวันที่ 25-26 ก.ค. และจากนั้นจะมีขึ้นในวันที่ 19-20 ก.ย.
ขณะที่นางคริสติน ลาการ์ด ประธานธนาคารกลางยุโรป (ECB) กล่าวในงานเสวนาดังกล่าวเมื่อวันอังคารที่ผ่านมาว่า อัตราเงินเฟ้อในยุโรปยังสูงเกินไป และมีแนวโน้มที่จะอยู่ในระดับสูงเช่นนี้เป็นเวลานาน ซึ่งอาจทำให้ ECB ต้องเดินหน้าปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเพื่อสกัดเงินเฟ้อ