สัญญาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส (WTI) ตลาดนิวยอร์กปิดพุ่งขึ้นกว่า 2% ในวันอังคาร (11 ก.ค.) ขานรับการคาดการณ์ที่ว่าอุปสงค์น้ำมันทั่วโลกจะฟื้นตัว นอกจากนี้ การอ่อนค่าของดอลลาร์ยังเป็นปัจจัยหนุนตลาดน้ำมัน
ทั้งนี้ สัญญาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือนส.ค. เพิ่มขึ้น 1.84 ดอลลาร์ หรือ 2.52% ปิดที่ 74.83 ดอลลาร์/บาร์เรล
ส่วนสัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ (BRENT) ส่งมอบเดือนก.ย. เพิ่มขึ้น 1.71 ดอลลาร์ หรือ 2.20% ปิดที่ 79.40 ดอลลาร์/บาร์เรล
สัญญาน้ำมันดิบได้รับแรงหนุนจากการอ่อนค่าของดอลลาร์ โดยดัชนีดอลลาร์ ซึ่งเป็นดัชนีวัดความเคลื่อนไหวของดอลลาร์เมื่อเทียบกับสกุลเงินหลัก 6 สกุลในตะกร้าเงิน ลดลง 0.24% แตะที่ระดับ 101.7344 เมื่อคืนนี้
ทั้งนี้ การอ่อนค่าของดอลลาร์ทำให้สัญญาน้ำมันดิบมีราคาถูกลงและน่าดึงดูดใจสำหรับนักลงทุนที่ถือครองสกุลเงินอื่น ๆ โดยปัจจัยที่ทำให้ดอลลาร์อ่อนค่าลงนั้น มาจากการที่เจ้าหน้าที่ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ส่งสัญญาณว่า เฟดใกล้จะยุติวงจรการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย
ตลาดยังได้ปัจจัยบวกจากการที่นายฟาตีห์ ไบรอล ผู้อำนวยการสำนักงานพลังงานสากล (IEA) คาดการณ์ว่า อุปสงค์น้ำมันจากจีนและประเทศกำลังพัฒนา ประกอบกับการที่กลุ่มโอเปกพลัสปรับลดการผลิตน้ำมันนั้น อาจจะทำให้ตลาดน้ำมันโลกเผชิญภาวะอุปทานตึงตัวในช่วงครึ่งหลังของปีนี้ แม้เศรษฐกิจโลกชะลอตัวลงก็ตาม
ทั้งนี้ ซาอุดีอาระเบียประกาศขยายเวลาในการปรับลดกำลังการผลิตน้ำมันโดยสมัครใจจำนวน 1 ล้านบาร์เรล/วันออกไปจนถึงสิ้นเดือนส.ค. ขณะที่รัสเซียจะปรับลดการส่งออกน้ำมันจำนวน 500,000 บาร์เรล/วันในเดือนส.ค. โดยทั้ง 2 ประเทศเป็นผู้ผลิตน้ำมันรายใหญ่ในกลุ่มโอเปกพลัส
ตลาดได้รับแรงหนุนมากขึ้น หลังจากหนังสือพิมพ์ไชน่า ซิเคียวริตีส์ เจอร์นัล ซึ่งเป็นสื่อของรัฐบาลจีนรายงานเมื่อวานนี้ว่า จีนมีแนวโน้มที่จะประกาศนโยบายสนับสนุนภาคอสังหาริมทรัพย์เพิ่มเติม ควบคู่ไปกับการออกมาตรการต่าง ๆ เพื่อกระตุ้นความเชื่อมั่นทางธุรกิจทั้งในภาคเอกชนและภาครัฐ รวมทั้งในหมู่บริษัทต่างชาติ หลังจากที่เจ้าหน้าที่รัฐบาลจีนได้ประชุมร่วมกับบรรดาผู้บริหารของบริษัทเอกชนเมื่อไม่นานมานี้
นักลงทุนจับตารายงานสต็อกน้ำมันดิบจากสำนักงานสารสนเทศด้านพลังงานสหรัฐ (EIA) ในวันนี้ ขณะที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่า สต็อกน้ำมันดิบจะเพิ่มขึ้น 500,000 บาร์เรลในสัปดาห์ที่สิ้นสุดวันที่ 7 ก.ค. ซึ่งจะเป็นการเพิ่มขึ้นครั้งแรกในรอบ 4 สัปดาห์