สัญญาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส (WTI) ตลาดนิวยอร์กปิดลบในวันพุธ (26 ก.ค.) หลังจากธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในการประชุมครั้งล่าสุด และส่งสัญญาณว่าอาจจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอีกในอนาคต นอกจากนี้ ตลาดยังถูกกดดันจากรายงานสต็อกน้ำมันดิบสหรัฐที่ลดลงน้อยกว่าคาด
ทั้งนี้ สัญญาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือนก.ย. ลดลง 85 เซนต์ หรือ 1.1% ปิดที่ 78.78 ดอลลาร์/บาร์เรล
ส่วนสัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ (BRENT) ส่งมอบเดือนก.ย. ลดลง 72 เซนต์ หรือ 0.9% ปิดที่ 82.92 ดอลลาร์/บาร์เรล
คณะกรรมการกำหนดนโยบายการเงิน (FOMC) ของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) มีมติปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยระยะสั้น 0.25% สู่ระดับ 5.25-5.50% ในการประชุมเมื่อวานนี้ ซึ่งเป็นระดับสูงสุดในรอบ 22 ปี ขณะที่นายเจอโรม พาวเวล ประธานเฟดส่งสัญญาณว่าเฟดอาจจะปรับขึ้นดอกเบี้ยอีกหากจำเป็น
ทั้งนี้ นักลงทุนกังวลว่าการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยจะส่งผลให้ต้นทุนการกู้ยืมของบริษัทเอกชนและกลุ่มผู้บริโภคเพิ่มขึ้นด้วย ซึ่งจะทำให้เศรษฐกิจและความต้องการใช้น้ำมันชะลอตัวลง
นอกจากนี้ ตลาดยังถูกกดดันจากข้อมูลของสำนักงานสารสนเทศด้านการพลังงานของรัฐบาลสหรัฐ (EIA) ซึ่งระบุว่า สต็อกน้ำมันดิบสหรัฐลดลงเพียง 600,000 บาร์เรลในสัปดาห์ที่สิ้นสุดวันที่ 21 ก.ค. ซึ่งน้อยกว่าที่นักวิเคราะห์คาดว่าจะลดลง 2.3 ล้านบาร์เรล
ส่วนสต็อกน้ำมันเบนซินลดลงเพียง 786,000 บาร์เรล น้อยกว่าที่นักวิเคราะห์คาดว่าจะลดลง 1.7 ล้านบาร์เรล และสต็อกน้ำมันกลั่น ซึ่งรวมถึงฮีตติ้งออยล์และน้ำมันดีเซล ลดลง 245,000 บาร์เรล น้อยกว่านักวิเคราะห์คาดว่าจะลดลง 301,000 บาร์เรล