สัญญาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส (WTI) ตลาดนิวยอร์กปิดพุ่งขึ้นทะลุระดับ 81 ดอลลาร์ในวันจันทร์ (31 ก.ค.) โดยได้แรงหนุนจากสัญญาณบ่งชี้ถึงภาวะอุปทานน้ำมันตึงตัวในตลาดโลก รวมทั้งเศรษฐกิจที่แข็งแกร่งของสหรัฐและยูโรโซน ซึ่งจะเป็นปัจจัยหนุนความต้องการใช้น้ำมัน
ทั้งนี้ สัญญาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือนก.ย. เพิ่มขึ้น 1.22 ดอลลาร์ หรือ 1.5% ปิดที่ 81.80 ดอลลาร์/บาร์เรล ซึ่งเป็นระดับปิดสูงสุดนับตั้งแต่วันที่ 14 เม.ย. 2565
ส่วนสัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ (BRENT) ส่งมอบเดือนต.ค. เพิ่มขึ้น 1.02 ดอลลาร์ หรือ 1.2% ปิดที่ 85.43 ดอลลาร์/บาร์เรล ซึ่งเป็นระดับปิดสูงสุดนับตั้งแต่วันที่ 14 เม.ย. 2565
ตลอดเดือนก.ค. สัญญาน้ำมัน WTI ทะยานขึ้น 15.8% และสัญญาน้ำมันเบรนท์พุ่งขึ้น 14.2% ขานรับการคาดการณ์เกี่ยวกับภาวะอุปทานน้ำมันตึงตัว โดยมีการคาดการณ์ว่าซาอุดีอาระเบียจะขยายเวลาในการปรับลดกำลังการผลิตน้ำมันโดยสมัครใจจำนวน 1 ล้านบาร์เรล/วันจนถึงสิ้นเดือนก.ย. จากเดิมที่กำหนดไว้ในสิ้นเดือนส.ค.
ขณะเดียวกันมีรายงานว่า การผลิตน้ำมันของซาอุดีอาระเบียลดลง 860,000 บาร์เรล/วันในเดือนก.ค. ส่วนการผลิตน้ำมันโดยรวมของกลุ่มประเทศผู้ส่งออกน้ำมัน (โอเปก) ลดลง 840,000 บาร์เรล/วันในเดือนก.ค.
ตลาดน้ำมันยังได้ปัจจัยบวกจากความแข็งแกร่งของเศรษฐกิจสหรัฐและยูโรโซน โดยกระทรวงพาณิชย์สหรัฐเปิดเผยตัวเลขประมาณการครั้งแรกสำหรับผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) ประจำไตรมาส 2/2566 โดยระบุว่า GDP ขยายตัว 2.4% ในไตรมาสดังกล่าว สูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 2.0% และสูงกว่าตัวเลข GDP ประจำไตรมาส 1 ซึ่งมีการขยายตัว 2.0%
ส่วนเศรษฐกิจยูโรโซนมีการขยายตัว 0.3% ในไตรมาส 2/2566 เมื่อเทียบรายไตรมาส สูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 0.2%
นักลงทุนจับตาการเปิดเผยสต็อกน้ำมันดิบของสถาบันปิโตรเลียมอเมริกา (API) ในวันอังคาร (1 ส.ค.) ก่อนที่สำนักงานสารสนเทศด้านการพลังงานของรัฐบาลสหรัฐ (EIA) จะเปิดเผยข้อมูลสต็อกน้ำมันดิบในวันพุธ (2 ส.ค.)