สัญญาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส (WTI) ตลาดนิวยอร์กปิดร่วงลงในวันอังคาร (15 ส.ค.) หลังจากจีนซึ่งเป็นประเทศผู้นำเข้าน้ำมันรายใหญ่ที่สุดของโลกเปิดเผยข้อมูลเศรษฐกิจที่อ่อนแอ นอกจากนี้ นักลงทุนยังกังวลว่าการปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายของจีนอาจไม่เพียงพอที่จะกระตุ้นเศรษฐกิจให้ฟื้นตัวขึ้นได้
ทั้งนี้ สัญญาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือนก.ย. ลดลง 1.52 ดอลลาร์ หรือ 1.8% ปิดที่ 80.99 ดอลลาร์/บาร์เรล
ส่วนสัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ (BRENT) ส่งมอบเดือนต.ค. ลดลง 1.32 ดอลลาร์ หรือ 1.5% ปิดที่ 84.89 ดอลลาร์/บาร์เรล
สัญญาน้ำมันดิบร่วงลงหลังจากจีนเปิดเผยข้อมูลที่บ่งชี้ว่าเศรษฐกิจอ่อนแอลงอย่างมาก โดยสำนักงานสถิติแห่งชาติจีน (NBS) รายงานว่า การผลิตภาคอุตสาหกรรมเดือนก.ค.ปรับตัวขึ้นเพียง 3.7% ซึ่งชะลอตัวลงจากเดือนมิ.ย.ที่มีการขยายตัว 4.4% และต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดว่าจะเพิ่มขึ้น 4.4%
ขณะที่ยอดค้าปลีกเดือนก.ค.ของจีนขยับขึ้นเพียง 2.5% ซึ่งชะลอตัวลงจากเดือนมิ.ย.ที่เพิ่มขึ้น 3.1% และต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดว่าจะเพิ่มขึ้น 4.5% ส่วนอัตราว่างงานเดือนก.ค.ดีดตัวขึ้นแตะระดับ 5.3% จากระดับ 5.2% ในเดือนมิ.ย.
ทางด้านธนาคารกลางจีนได้ปรับลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ระยะกลาง (MLF) ระยะ 1 ปีซึ่งเป็นอัตราดอกเบี้ยนโยบายของจีน ลง 0.15% สู่ระดับ 2.50% เมื่อวานนี้ ซึ่งสวนทางกับการคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ และสะท้อนให้เห็นว่าจีนมีความกังวลเกี่ยวกับเศรษฐกิจที่มีแนวโน้มถดถอย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในภาคอสังหาริมทรัพย์ หลังจากบริษัทคันทรี การ์เดน ซึ่งเป็นบริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์รายใหญ่ของจีนเผชิญวิกฤตหนี้สินและยอดขายบ้านที่ลดลงอย่างต่อเนื่อง
นอกจากนี้ บรรยากาศการซื้อขายในตลาดน้ำมันยังถูกกดดันจากการที่ฟิทช์ เรทติ้งส์ ขู่ปรับลดอันดับความน่าเชื่อถือของธนาคารสหรัฐหลายแห่ง รวมถึงเจพีมอร์แกน เชส ซึ่งเป็นธนาคารขนาดใหญ่ที่สุดของสหรัฐ
นักลงทุนจับตารายงานสต็อกน้ำมันดิบประจำสัปดาห์ของสหรัฐ โดยสำนักงานสารสนเทศด้านพลังงานสหรัฐ (EIA) จะเปิดเผยข้อมูลดังกล่าวในวันนี้ เวลา 21.30 น.ตามเวลาไทย ขณะที่นักวิเคราะห์คาดว่าสต็อกน้ำมันดิบสหรัฐอาจจะลดลง 2.3 ล้านบาร์เรลในสัปดาห์ที่แล้ว