สัญญาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส (WTI) ตลาดนิวยอร์กปิดบวกในวันศุกร์ (25 ส.ค.) สู่ระดับสูงสุดในรอบ 1 สัปดาห์ โดยได้แรงหนุนจากราคาน้ำมันดีเซลของสหรัฐที่พุ่งขึ้น, จำนวนแท่นขุดเจาะน้ำมันในสหรัฐที่ลดลง และการเกิดเหตุเพลิงไหม้ที่โรงกลั่นน้ำมันแห่งหนึ่งในลุยเซียนา
ทั้งนี้ สัญญาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือนต.ค. เพิ่มขึ้น 78 เซนต์ หรือ 1% ปิดที่ 79.83 ดอลลาร์/บาร์เรล แต่ปรับตัวลง 0.1% ในรอบสัปดาห์นี้เป็นสัปดาห์ที่ 2 ติดต่อกัน
ส่วนสัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ (BRENT) ส่งมอบเดือนต.ค. เพิ่มขึ้น 1.12 ดอลลาร์ หรือ 1.3% ปิดที่ 84.48 ดอลลาร์/บาร์เรล แต่ปรับตัวลง 0.4% ในรอบสัปดาห์นี้
สัญญาน้ำมันดิบปรับตัวขึ้นตามสัญญาน้ำมันดีเซลที่พุ่งขึ้นประมาณ 5% สู่ระดับสูงสุดในรอบเกือบ 7 เดือน ซึ่งหนุนอัตรากำไรจากการกลั่นน้ำมันขึ้นสู่ระดับสูงสุดนับตั้งแต่เดือนม.ค.ปีนี้
สัญญาน้ำมันดิบยังได้แรงหนุนจากเหตุเพลิงไหม้ที่ถังเก็บแนฟทา (Naphtha) ซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์ที่ได้จากการกลั่นน้ำมันดิบที่โรงกลั่นของบริษัทมาราธอน ปิโตรเลียมในแกรีวิลล์ รัฐลุยเซียนา โดยเหตุเพลิงไหม้นั้นสามารถควบคุมได้แล้วในช่วงบ่ายวันศุกร์
นอกจากนี้ สัญญาน้ำมันดิบยังได้แรงหนุนจากการที่บริษัทเบเกอร์ ฮิวจ์ส ซึ่งให้บริการด้านพลังงานระบุว่า บรรดาบริษัทพลังงานของสหรัฐปรับลดจำนวนแท่นขุดเจาะน้ำมันลงในเดือนส.ค.เป็นเดือนที่ 9 ติดต่อกัน
ราคาน้ำมันดิบปรับตัวขึ้น แม้เยอรมนีเปิดเผยข้อมูลเศรษฐกิจที่อ่อนแอ และดอลลาร์สหรัฐแข็งค่าขึ้นสู่ระดับสูงสุดในรอบ 11 สัปดาห์เมื่อเทียบกับตะกร้าเงิน หลังนายเจอโรม พาวเวล ประธานธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) เปิดเผยในการประชุมที่เมืองแจ็กสัน โฮล รัฐไวโอมิงในวันศุกร์ว่า เฟดอาจจำเป็นต้องปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยต่อไปเพื่อสกัดเงินเฟ้อ