สัญญาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส (WTI) ตลาดนิวยอร์กปิดลบในวันจันทร์ (11 ก.ย.) โดยตลาดถูกกดดันจากความกังวลเกี่ยวกับแนวโน้มเศรษฐกิจจีนซึ่งเป็นผู้นำเข้าน้ำมันรายใหญ่ของโลก ขณะที่นักลงทุนจับตารายงานสต็อกน้ำมันดิบของสหรัฐ และรายงานคาดการณ์แนวโน้มอุปสงค์และอุปทานน้ำมันในสัปดาห์นี้
ทั้งนี้ สัญญาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือนต.ค. ลดลง 22 เซนต์ หรือ 0.3% ปิดที่ 87.29 ดอลลาร์/บาร์เรล
ส่วนสัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ (BRENT) ส่งมอบเดือนพ.ย. ลดลง 1 เซนต์ ปิดที่ 90.64 ดอลลาร์/บาร์เรล
ในช่วงแรกนั้น สัญญาน้ำมันดิบ WTI พุ่งขึ้นแตะระดับ 88.15 ดอลลาร์ ซึ่งเป็นระดับสูงสุดนับตั้งแต่เดือนพ.ย. 2565 เนื่องจากนักลงทุนขานรับแนวโน้มอุปทานน้ำมันตึงตัวในตลาดโลก หลังจากซาอุดีอาระเบียประกาศขยายเวลาปรับลดกำลังการผลิตน้ำมันโดยสมัครใจจำนวน 1 ล้านบาร์เรล/วันจนถึงสิ้นปีนี้ และรัสเซียขยายเวลาปรับลดการส่งออกน้ำมันสู่ระดับ 300,000 บาร์เรล/วันจนถึงสิ้นปีนี้เช่นกัน
ตลาดยังได้แรงหนุนในช่วงแรกจากรายงานข่าวที่ว่า ลิเบียปิดท่าเรือส่งออกน้ำมัน 4 แห่งตั้งแต่วันเสาร์ที่ 9 ก.ย.ที่ผ่านมา เนื่องจากอิทธิพลของพายุส่งผลให้เกิดลมกระโชกรุนแรงและน้ำท่วมหนักในพื้นที่ฝั่งตะวันออกของประเทศ
อย่างไรก็ดี สัญญาน้ำมันอ่อนแรงลงในเวลาต่อมา เนื่องจากนักลงทุนวิตกกังวลว่าการชะลอตัวของเศรษฐกิจจีนจะส่งกระทบต่อความต้องการใช้น้ำมัน
นาอีม อัสลาม นักวิเคราะห์จากบริษัท Zaye Capital Markets กล่าวว่า นักลงทุนจับตาการเปิดเผยข้อมูลเงินเฟ้อของสหรัฐในสัปดาห์นี้อย่างใกล้ชิด เพื่อประเมินแนวโน้มอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) โดยคาดว่าข้อมูลเงินเฟ้อดังกล่าวจะส่งผลต่อการซื้อขายในตลาดต่าง ๆ เป็นวงกว้าง ตั้งแต่ตลาดปริวรรตเงินตรา ตลาดหุ้น ไปจนถึงตลาดสินค้าโภคภัณฑ์ซึ่งรวมถึงน้ำมัน
ทั้งนี้ สหรัฐมีกำหนดเปิดเผยดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) ประจำเดือนส.ค.ในวันพุธนี้ และจากนั้นจะเปิดเผยดัชนีราคาผู้ผลิต (PPI) เดือนส.ค.ในวันพฤหัสบดี โดยการเปิดเผยตัวเลขเงินเฟ้อดังกล่าวมีขึ้นก่อนที่เฟดจะประชุมนโยบายการเงินในวันที่ 19-20 ก.ย.
นอกจากนี้ นักลงทุนยังจับตารายงานสต็อกน้ำมันดิบจากสำนักงานสารสนเทศด้านพลังงานสหรัฐ (EIA) ในวันพุธ รวมทั้งรายงานคาดการณ์แนวโน้มอุปสงค์และอุปทานน้ำมันจากสำนักงานพลังงานสากล (IEA) และกลุ่มประเทศผู้ส่งออกน้ำมัน (โอเปก) ในสัปดาห์นี้