สัญญาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส (WTI) ตลาดนิวยอร์กปิดลบในวันพุธ (13 ก.ย.) หลังสหรัฐเปิดเผยสต็อกน้ำมันดิบเพิ่มขึ้นสวนทางกับการคาดการณ์ ซึ่งบดบังปัจจัยบวกจากแนวโน้มอุปทานน้ำมันตึงตัวในตลาดโลก
ทั้งนี้ สัญญาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือนต.ค. ลดลง 32 เซนต์ หรือ 0.4% ปิดที่ 88.52 ดอลลาร์/บาร์เรล
ส่วนสัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ (BRENT) ส่งมอบเดือนพ.ย. ลดลง 18 เซนต์ หรือ 0.2% ปิดที่ 91.88 ดอลลาร์/บาร์เรล
สำนักงานสารสนเทศด้านการพลังงานของรัฐบาลสหรัฐ (EIA) เปิดเผยว่า สต็อกน้ำมันดิบสหรัฐเพิ่มขึ้น 4 ล้านบาร์เรลในสัปดาห์ที่แล้ว สวนทางกับที่นักวิเคราะห์คาดว่าจะลดลง 2 ล้านบาร์เรล
ส่วนสต็อกน้ำมันเบนซินเพิ่มขึ้น 5.6 ล้านบาร์เรล สวนทางกับที่นักวิเคราะห์คาดว่าจะลดลง 1.4 ล้านบาร์เรล และสต็อกน้ำมันกลั่น ซึ่งรวมถึงฮีตติ้งออยล์และน้ำมันดีเซล เพิ่มขึ้น 3.9 ล้านบาร์เรล ขณะที่นักวิเคราะห์คาดว่าจะทรงตัว
ทั้งนี้ สต็อกน้ำมันดิบที่เพิ่มขึ้นสวนทางกับการคาดการณ์นั้น ได้บดบังปัจจัยบวกจากแนวโน้มอุปทานน้ำมันตึงตัวในตลาดโลก หลังจากซาอุดีอาระเบียขยายเวลาปรับลดกำลังการผลิตน้ำมันโดยสมัครใจจำนวน 1 ล้านบาร์เรล/วันจนถึงสิ้นปีนี้ และรัสเซียขยายเวลาปรับลดการส่งออกน้ำมันสู่ระดับ 300,000 บาร์เรล/วันจนถึงสิ้นปีนี้เช่นกัน
ขณะที่กลุ่มประเทศผู้ส่งออกน้ำมัน (โอเปก) คาดการณ์ว่า อุปสงค์น้ำมันในตลาดโลกจะยังคงขยายตัวอย่างแข็งแกร่งในปี 2566 และ 2567 เนื่องจากมีสัญญาณบ่งชี้ว่าเศรษฐกิจของประเทศขนาดใหญ่ฟื้นตัวได้ดีกว่าที่คาดการณ์ไว้ แม้เผชิญกับอุปสรรคต่าง ๆ เช่นภาวะอัตราดอกเบี้ยและเงินเฟ้อที่อยู่ในระดับสูง
ทั้งนี้ โอเปกคาดการณ์ว่า อุปสงค์น้ำมันในตลาดโลกปี 2566 จะเพิ่มขึ้น 2.44 ล้านบาร์เรลต่อวัน ส่วนในปี 2567 คาดว่าอุปสงค์น้ำมันจะเพิ่มขึ้น 2.25 ล้านบาร์เรลต่อวัน โดยโอเปกระบุว่า เศรษฐกิจโลกที่ขยายตัวอย่างต่อเนื่องจะเป็นแรงผลักดันอุปสงค์น้ำมัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งการฟื้นตัวในอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวและการเดินทางทางอากาศ ซึ่งมีแนวโน้มที่จะทำให้อุปสงค์น้ำมันในปี 2566 พุ่งขึ้นสูงกว่าในช่วงก่อนที่โรคโควิด-19 จะแพร่ระบาด