สัญญาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส (WTI) ตลาดนิวยอร์กปิดลบในวันพุธ (20 ก.ย.) หลังจากธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) มีมติคงอัตราดอกเบี้ยตามคาดในการประชุมครั้งล่าสุด แต่ส่งสัญญาณว่าจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอีกในปีนี้ ซึ่งสร้างแรงกดดันต่อบรรยากาศการซื้อขายในตลาดน้ำมัน และบดบังปัจจัยบวกจากรายงานสต็อกน้ำมันดิบสหรัฐที่ลดลงมากกว่าคาดในสัปดาห์ที่แล้ว
ทั้งนี้ สัญญาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือนต.ค. ลดลง 92 เซนต์ หรือ 1.0% ปิดที่ 90.28 ดอลลาร์/บาร์เรล
ส่วนสัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ (BRENT) ส่งมอบเดือนพ.ย. ลดลง 81 เซนต์ หรือ 0.9% ปิดที่ 93.53 ดอลลาร์/บาร์เรล
คณะกรรมการกำหนดนโยบายการเงิน (FOMC) ของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) มีมติคงอัตราดอกเบี้ยระยะสั้นที่ระดับ 5.25-5.50% ในการประชุมเมื่อวานนี้ ซึ่งเป็นระดับสูงสุดในรอบ 22 ปี
ทั้งนี้ การคงอัตราดอกเบี้ยในการประชุมดังกล่าวเป็นไปตามที่ตลาดคาดการณ์ไว้ แต่ในรายงานคาดการณ์อัตราดอกเบี้ยนโยบาย (Dot Plot) ระบุว่า เจ้าหน้าที่เฟดส่งสัญญาณปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอีก 0.25% สู่กรอบ 5.50%-5.75% ภายในสิ้นปีนี้ ซึ่งทำให้นักลงทุนกังวลว่าการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเพื่อสกัดเงินเฟ้ออาจส่งผลให้เศรษฐกิจชะลอตัว และทำให้ความต้องการใช้น้ำมันปรับตัวลดลงด้วย
ความกังวลเกี่ยวกับผลกระทบของภาวะอัตราดอกเบี้ยสูงได้บดบังปัจจัยบวกจากรายงานของสำนักงานสารสนเทศด้านการพลังงานของรัฐบาลสหรัฐ (EIA) ซึ่งระบุว่า สต็อกน้ำมันดิบของสหรัฐลดลง 2.1 ล้านบาร์เรลในสัปดาห์ที่แล้ว ซึ่งมากกว่าที่นักวิเคราะห์คาดว่าจะลดลงเพียง 700,000 บาร์เรล
ส่วนสต็อกน้ำมันเบนซินลดลง 800,000 บาร์เรล ขณะที่นักวิเคราะห์คาดว่าจะลดลง 2.9 ล้านบาร์เรล และสต็อกน้ำมันกลั่น ซึ่งรวมถึงฮีตติ้งออยล์และน้ำมันดีเซล ลดลง 2.9 ล้านบาร์เรลในสัปดาห์ที่แล้ว ขณะที่นักวิเคราะห์คาดว่าจะลดลง 1.6 ล้านบาร์เรล