สัญญาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส (WTI) ตลาดนิวยอร์กปิดพุ่งขึ้นกว่า 3% ในวันพุธ (27 ก.ย.) หลังสหรัฐเปิดเผยสต็อกน้ำมันดิบลดลงมากกว่าคาดในสัปดาห์ที่แล้ว ซึ่งจะยิ่งทำให้อุปทานน้ำมันในตลาดโลกเผชิญภาวะตึงตัว
ทั้งนี้ สัญญาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือนพ.ย. เพิ่มขึ้น 3.29 ดอลลาร์ หรือ 3.6% ปิดที่ 93.68 ดอลลาร์/บาร์เรล ซึ่งเป็นระดับปิดสูงสุดนับตั้งแต่วันที่ 29 ส.ค. 2566
ส่วนสัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ (BRENT) ส่งมอบเดือนพ.ย. เพิ่มขึ้น 2.59 ดอลลาร์ หรือ 2.8% ปิดที่ 96.55 ดอลลาร์/บาร์เรล ซึ่งเป็นระดับปิดสูงสุดนับตั้งแต่วันที่ 7 พ.ย. 2565
สัญญาน้ำมันดิบ WTI ทะยานขึ้นเหนือระดับ 93 ดอลลาร์/บาร์เรล หลังจากสำนักงานสารสนเทศด้านการพลังงานของรัฐบาลสหรัฐ (EIA) เปิดเผยว่า สต็อกน้ำมันดิบสหรัฐลดลง 2.1 ล้านบาร์เรลในสัปดาห์ที่แล้ว ซึ่งมากกว่าที่นักวิเคราะห์คาดว่าจะลดลงเพียง 900,000 บาร์เรล
ขณะเดียวกัน EIA ระบุว่า สต็อกน้ำมันดิบที่เมืองคูชิง รัฐโอกลาโฮมา ซึ่งเป็นจุดส่งมอบสัญญาน้ำมันดิบล่วงหน้าของสหรัฐ ลดลง 943,000 บาร์เรล สู่ระดับต่ำกว่า 22 ล้านบาร์เรล ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดนับตั้งแต่เดือนก.ค. 2565
นักลงทุนมองว่า สต็อกน้ำมันดิบที่ลดลงในสหรัฐจะยิ่งทำให้อุปทานน้ำมันในตลาดโลกตึงตัวมากขึ้น จากเดิมที่นักลงทุนคาดการณ์ไว้แล้วว่าอุปทานน้ำมันจะตึงตัวหลังจากซาอุดีอาระเบียขยายเวลาปรับลดกำลังการผลิตน้ำมันโดยสมัครใจจำนวน 1 ล้านบาร์เรล/วันจนถึงสิ้นปีนี้ และรัสเซียขยายเวลาปรับลดการส่งออกน้ำมันสู่ระดับ 300,000 บาร์เรล/วันจนถึงสิ้นปีนี้เช่นกัน
ทางด้านสำนักงานพลังงานสากล (IEA) คาดการณ์ว่า การที่รัสเซียและซาอุดีอาระเบียปรับลดอุปทานน้ำมัน จะทำให้ตลาดเกิดภาวะขาดแคลนน้ำมันในไตรมาส 4 ปีนี้