สัญญาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส (WTI) ตลาดนิวยอร์กปิดร่วงลงกว่า 2% ในวันพฤหัสบดี (28 ก.ย.) เนื่องจากนักลงทุนเทขายทำกำไรหลังจากราคาน้ำมันพุ่งขึ้นแข็งแกร่ง นอกจากนี้ ตลาดยังถูกกดดันจากความกังวลว่า ภาวะอัตราดอกเบี้ยสูงจะส่งผลกระทบต่อความต้องการใช้น้ำมัน
ทั้งนี้ สัญญาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือนพ.ย. ลดลง 1.97 ดอลลาร์ หรือ 2.1% ปิดที่ 91.71 ดอลลาร์/บาร์เรล
ส่วนสัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ (BRENT) ส่งมอบเดือนพ.ย. ลดลง 1.17 ดอลลาร์ หรือ 1.2% ปิดที่ 95.38 ดอลลาร์/บาร์เรล
ในระหว่างวัน สัญญาน้ำมันเบรนท์พุ่งขึ้นแตะระดับ 97.69 ดอลลาร์ ซึ่งเป็นระดับสูงสุดนับตั้งแต่เดือนพ.ย. 2565 ขณะที่สัญญาน้ำมัน WTI ทะยานขึ้นแตะระดับ 95.03 ดอลลาร์ ซึ่งเป็นระดับสูงสุดนับตั้งแต่เดือนส.ค. 2565 โดยได้แรงหนุนจากแนวโน้มอุปทานน้ำมันตึงตัว และสต็อกน้ำมันดิบสหรัฐที่ลดลงมากกว่าคาดในสัปดาห์ที่แล้ว
เอ็ดเวิร์ด โมยา นักวิเคราะห์จากบริษัท OANDA กล่าวว่า สัญญาน้ำมันพุ่งขึ้นอย่างแข็งแกร่งในระหว่างวัน โดยเหลือเพียงไม่กี่ดอลลาร์ก็จะแตะระดับ 100 ดอลลาร์ แต่หลังจากนั้นนักลงทุนได้เข้ามาเทขายทำกำไรอย่างรวดเร็ว
ขณะที่นักวิเคราะห์จากบริษัท Gelber & Associates กล่าวว่า นักลงทุนมีความกังวลว่า การพุ่งของราคาน้ำมันจะยิ่งทำให้อัตราเงินเฟ้อเร่งตัวขึ้น ซึ่งจะผลักดันให้ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) และธนาคารกลางของประเทศอื่น ๆ คงอัตราดอกเบี้ยที่ระดับสูงเป็นเวลานานกว่าที่คาดการณ์ไว้ เพื่อสกัดเงินเฟ้อ
กระทรวงพาณิชย์สหรัฐเปิดเผยว่า ผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) ประจำไตรมาส 2/2566 ขยายตัว 2.1% ซึ่งไม่เปลี่ยนแปลงจากตัวเลขประมาณการครั้งที่ 2 แต่ต่ำกว่าตัวเลขประมาณการครั้งที่ 1 ที่ระดับ 2.4%
ส่วนธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) สาขาแอตแลนตาเปิดเผยว่า แบบจำลองคาดการณ์ GDPNow ล่าสุดแสดงให้เห็นว่า เศรษฐกิจสหรัฐขยายตัว 4.9% ในไตรมาส 3/2566
อย่างไรก็ดี ตลาดกังวลว่าเศรษฐกิจในไตรมาส 4 ของสหรัฐอาจชะลอตัวลงอย่างรุนแรง หากหน่วยงานของรัฐบาลสหรัฐถูกปิดการดำเนินงาน หรือชัตดาวน์ ในวันที่ 1 ต.ค.นี้