สัญญาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส (WTI) ตลาดนิวยอร์กปิดร่วงลงกว่า 2% ในวันจันทร์ (2 ต.ค.) โดยตลาดถูกกดดันจากการแข็งค่าของดอลลาร์ และแรงขายทำกำไร นอกจากนี้ ตลาดยังได้รับปัจจัยลบจากความกังวลเกี่ยวกับอุปทานน้ำมันดิบที่สูงขึ้น และภาวะอัตราดอกเบี้ยสูงที่อาจส่งผลกระทบต่ออุปสงค์น้ำมัน
ทั้งนี้ สัญญาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือนพ.ย. ลดลง 1.97 ดอลลาร์ หรือ 2.2% ปิดที่ 88.82 ดอลลาร์/บาร์เรล ซึ่งเป็นระดับปิดต่ำสุดนับตั้งแต่วันที่ 13 ก.ย. 2566
ส่วนสัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ (BRENT) ส่งมอบเดือนธ.ค. ลดลง 1.49 ดอลลาร์ หรือ 1.6% ปิดที่ 90.71 ดอลลาร์/บาร์เรล ซึ่งเป็นระดับปิดต่ำสุดนับตั้งแต่วันที่ 11 ก.ย. 2566
นักลงทุนเทขายทำกำไรหลังจากราคาน้ำมันเบรนท์พุ่งขึ้น 9.7% ในเดือนก.ย. และทะยานขึ้น 27.3% ในไตรมาส 3 ขณะที่ราคาน้ำมัน WTI เพิ่มขึ้น 8.6% ในเดือนก.ย. และพุ่งขึ้น 28.5% ในไตรมาส 3
ตลาดยังถูกกดดันจากดัชนีดอลลาร์ที่พุ่งขึ้นแตะระดับสูงสุดในรอบ 10 เดือน เนื่องจากการที่หน่วยงานของรัฐบาลสหรัฐสามารถรอดพ้นจากการถูกปิดดำเนินงานหรือชัตดาวน์ และข้อมูลเศรษฐกิจที่แข็งแกร่งของสหรัฐ ทำให้นักลงทุนคาดการณ์ว่าธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) อาจจะคงอัตราดอกเบี้ยที่ระดับสูงเป็นเวลานาน ซึ่งจะส่งผลกระทบต่ออุปสงค์น้ำมัน
นอกจากนี้ ตลาดยังได้รับปัจจัยลบจากรายงานข่าวที่ว่า ตุรกีเตรียมเปิดท่อส่งน้ำมันดิบจากอิรักในสัปดาห์นี้ หลังจากที่ถูกปิดเป็นเวลา 6 เดือน ขณะที่ Rapidan Group ซึ่งเป็นบริษัทที่ปรึกษาด้านพลังงาน เปิดเผยว่า ซาอุดีอาระเบียจะกลับมาเพิ่มกำลังการผลิตน้ำมัน หลังจากที่ราคาน้ำมันดิบเบรนท์พุ่งขึ้นมากกว่า 90 ดอลลาร์/บาร์เรล คณะกรรมการร่วมด้านการตรวจสอบระดับรัฐมนตรี (JMMC) ของกลุ่มประเทศผู้ส่งออกน้ำมัน (โอเปก) และชาติพันธมิตร หรือโอเปกพลัส จะจัดการประชุมในวันพุธนี้ ขณะที่แหล่งข่าวระบุว่าที่ประชุมจะมีมติคงนโยบายการผลิต ซึ่งจะส่งผลให้โอเปกพลัสปรับลดกำลังการผลิตรวม 3.66 ล้านบาร์เรล/วันจนถึงสิ้นปี 2567