สัญญาน้ำมันดิบ WTI พุ่งขึ้นกว่า 4% ทะลุระดับ 86 ดอลลาร์ ท่ามกลางความกังวลเกี่ยวกับสถานการณ์ในตะวันออกกลาง
ณ เวลา 21.35 น.ตามเวลาไทย สัญญาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส (WTI) ส่งมอบเดือนพ.ย. ซึ่งมีการซื้อขายที่ตลาด NYMEX บวก 3.71 ดอลลาร์ หรือ 4.50% สู่ระดับ 86.50 ดอลลาร์/บาร์เรล
นายเบนจามิน เนทันยาฮู นายกรัฐมนตรีอิสราเอล ประกาศว่า อิสราเอลจะทำการเปลี่ยนแปลงโฉมหน้าของตะวันออกกลาง ด้วยการตอบโต้กลุ่มฮามาสอย่างสาสม
"สิ่งที่ฮามาสจะเผชิญจะเป็นเรื่องที่น่าหวาดกลัวและยากลำบาก" นายเนทันยาฮูกล่าว
ทั้งนี้ กลุ่มฮามาสทำการโจมตีอิสราเอลอย่างรุนแรงเมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมา ส่งผลให้ชาวอิสราเอลถูกสังหารกว่า 700 ราย ขณะที่ชาวปาเลสไตน์เสียชีวิตกว่า 500 รายจากการตอบโต้ของอิสราเอล ทำให้ขณะนี้มีผู้เสียชีวิตมากกว่า 1,200 รายจากเหตุการณ์ดังกล่าว ซึ่งรวมถึงชาวต่างชาติอีกหลายราย
อย่างไรก็ดี โกลด์แมน แซคส์ออกรายงานระบุว่า การสู้รบระหว่างอิสราเอลและกลุ่มฮามาสจะยังไม่ส่งผลกระทบครั้งใหญ่ต่อปริมาณน้ำมันในตลาดในระยะใกล้ แต่จะกระทบต่อการรื้อฟื้นความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างอิสราเอลและซาอุดีอาระเบีย
นอกจากนี้ โกลด์แมน แซคส์คาดว่าราคาน้ำมันดิบเบรนท์จะพุ่งแตะระดับ 100 ดอลลาร์/บาร์เรลภายในเดือนมิ.ย.2567
ด้านนายวิเวก ธาร์ นักวิเคราะห์ด้านพลังงานของธนาคารคอมมอนเวลธ์ ระบุในรายงานว่า เหตุการณ์การสู้รบระหว่างอิสราเอลและกลุ่มฮามาสจะเป็นปัจจัยหนุนราคาน้ำมันให้พุ่งขึ้นเพียงชั่วคราวเท่านั้น
"การที่ราคาน้ำมันจะพุ่งขึ้นอย่างมีนัยสำคัญและอย่างยาวนาน เหตุการณ์ความขัดแย้งนี้จะต้องกระทบต่อการขนส่งน้ำมัน และทำให้ปริมาณน้ำมันลดลงอย่างต่อเนื่อง ซึ่งสงครามระหว่างอิสราเอลและกลุ่มฮามาสยังไม่ได้ส่งผลกระทบโดยตรงต่อแหล่งผลิตน้ำมันรายใหญ่ของโลก"
"ประวัติศาสตร์ที่ผ่านมาแสดงให้เห็นว่า ปฏิกริยาที่หนุนราคาน้ำมันมักเกิดขึ้นเพียงชั่วคราว และมักถูกบดบังจากปัจจัยอื่น" รายงานระบุ
ทั้งนี้ อิสราเอลและปาเลสไตน์ต่างก็ไม่ใช่ผู้ผลิตน้ำมันรายใหญ่ โดยอิสราเอลมีโรงกลั่นน้ำมันเพียง 2 โรง ซึ่งมีกำลังการผลิตรวมกันราว 300,000 บาร์เรล/วัน ขณะที่ปาเลสไตน์ไม่มีการผลิตน้ำมัน