สัญญาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส (WTI) ตลาดนิวยอร์กปิดลบในวันอังคาร (31 ต.ค.) หลังจากมีรายงานว่า กลุ่มประเทศผู้ส่งออกน้ำมัน (โอเปก) และสหรัฐ ผลิตน้ำมันเพิ่มขึ้น นอกจากนี้ สัญญาน้ำมันดิบยังปรับตัวลดลงเนื่องจากนักลงทุนคลายความกังวลเกี่ยวกับผลกระทบของสถานการณ์ตึงเครียดในตะวันออกกลาง
ทั้งนี้ สัญญาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือนธ.ค. ลดลง 1.29 ดอลลาร์ หรือ 1.6% ปิดที่ 81.02 ดอลลาร์/บาร์เรล
ส่วนสัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ (BRENT) ส่งมอบเดือนธ.ค. ลดลง 4 เซนต์ หรือ 0.04% ปิดที่ 87.41 ดอลลาร์/บาร์เรล
สัญญาน้ำมันดิบปรับตัวลง หลังจากผลการสำรวจของสำนักข่าวรอยเตอร์ระบุว่า กลุ่มโอเปกผลิตน้ำมัน 27.90 ล้านบาร์เรล/วันในเดือนต.ค. เพิ่มขึ้น 180,000 บาร์เรล/วันจากเดือนก.ย. และเป็นการผลิตน้ำมันเพิ่มขึ้นติดต่อกันเดือนที่ 3 โดยได้แรงหนุนจากการผลิตน้ำมันของไนจีเรีย, แองโกลา และอิหร่าน แม้ว่าซาอุดีอาระเบียปรับลดกำลังการผลิตก็ตาม
ทางด้านสำนักงานสารสนเทศด้านการพลังงานของรัฐบาลสหรัฐ (EIA) รายงานว่า การผลิตน้ำมันดิบของสหรัฐในเดือนส.ค.ทำสถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ระดับ 13.05 ล้านบาร์เรล/วัน
ตลาดยังได้รับผลกระทบจากการที่จีนซึ่งเป็นประเทศที่ใช้น้ำมันดิบรายใหญ่อันดับ 2 ของโลก รายงานว่าดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ภาคการผลิตปรับตัวลงสู่ระดับ 49.5 ในเดือนต.ค. จากระดับ 50.2 ในเดือนก.ย. และต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 50.2 โดยดัชนีอยู่ต่ำกว่าระดับ 50 บ่งชี้ว่าภาคการผลิตอยู่ในภาวะหดตัว
นอกจากนี้ การที่นักลงทุนคลายความกังวลเกี่ยวกับผลกระทบของสถานการณ์ในตะวันออกกลาง ยังเป็นปัจจัยฉุดราคาน้ำมัน โดยล่าสุด กองพลน้อยอัล-กัสซัม (al-Qassam) ของกลุ่มฮามาส ออกแถลงการณ์ระบุว่า กลุ่มฮามาสจะปล่อยตัวประกันชาวต่างชาติจำนวนหลายรายในอีกไม่กี่วันข้างหน้า
นักลงทุนจับตารายงานสต็อกน้ำมันดิบจากสำนักงานสารสนเทศด้านการพลังงานของรัฐบาลสหรัฐ (EIA) ในวันนี้ (1 พ.ย.) และรอดูผลการประชุมของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ในวันนี้ตามเวลาสหรัฐ หรือตรงกับช่วงเช้าตรู่ของวันพฤหัสบดีตามเวลาไทย