สัญญาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส (WTI) ตลาดนิวยอร์กปิดลบในวันพุธ (1 พ.ย.) โดยตลาดถูกกดดันจากการแข็งค่าของดอลลาร์ รวมทั้งตัวเลขสต็อกน้ำมันดิบและน้ำมันเบนซินของสหรัฐที่ปรับตัวสูงขึ้นในสัปดาห์ที่แล้ว
สัญญาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือนธ.ค. ลดลง 58 เซนต์ หรือ 0.7% ปิดที่ 80.44 ดอลลาร์/บาร์เรล
ส่วนสัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ (BRENT) ส่งมอบเดือนม.ค. ลดลง 39 เซนต์ หรือ 0.5% ปิดที่ 84.63 ดอลลาร์/บาร์เรล
ทั้งนี้ สัญญาน้ำมัน WTI ปิดที่ระดับต่ำสุดนับตั้งแต่วันที่ 28 ส.ค. และสัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ปิดที่ระดับต่ำสุดนับตั้งแต่วันที่ 6 ต.ค.
ดัชนีดอลลาร์ ซึ่งเป็นดัชนีวัดความเคลื่อนไหวของดอลลาร์เมื่อเทียบกับสกุลเงินหลัก 6 สกุลในตะกร้าเงิน เพิ่มขึ้น 0.22% แตะที่ระดับ 106.8894 เมื่อคืนนี้ โดยการแข็งค่าของดอลลาร์ทำให้สัญญาน้ำมันดิบซึ่งกำหนดราคาเป็นดอลลาร์นั้น มีราคาแพงขึ้นและไม่น่าดึงดูดใจสำหรับนักลงทุนที่ถือครองสกุลเงินอื่น ๆ
ดอลลาร์แข็งค่าขึ้น หลังจากธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) มีมติคงอัตราดอกเบี้ยระยะสั้นที่ระดับ 5.25-5.50% ในการประชุมเมื่อวานนี้ (1 พ.ย.) ซึ่งเป็นไปตามที่ตลาดคาดการณ์ไว้ แต่เฟดส่งสัญญาณว่ามีความเป็นไปได้ที่จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอีกในอนาคตเนื่องจากเศรษฐกิจสหรัฐมีความแข็งแกร่ง
ทั้งนี้ นักลงทุนกังวลว่าการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอาจจะส่งผลกระทบต่อการเติบโตของเศรษฐกิจ และทำให้ความต้องการใช้น้ำมันชะลอตัวลง
ตลาดยังถูกกดดันจากรายงานของสำนักงานสารสนเทศด้านการพลังงานของรัฐบาลสหรัฐ (EIA) ซึ่งระบุว่า สต็อกน้ำมันดิบของสหรัฐเพิ่มขึ้น 774,000 บาร์เรลในสัปดาห์ที่แล้ว และสต็อกน้ำมันเบนซินเพิ่มขึ้น 100,000 บาร์เรล
นักลงทุนยังคงจับตาสถานการณ์ตึงเครียดในตะวันออกกลาง เพื่อประเมินว่าสงครามระหว่างอิสราเอลและกลุ่มฮามาสจะลุกลามออกไปนอกภูมิภาคหรือไม่ โดยล่าสุดมีรายงานว่าเครื่องบินรบของสหรัฐได้ทำการโจมตีฐานที่มั่นและคลังเก็บอาวุธในซีเรียของกลุ่มนักรบที่ได้รับการสนับสนุนจากอิหร่าน
นอกจากนี้ กลุ่มติดอาวุธฮูตีในเยเมน ซึ่งได้รับการสนับสนุนจากอิหร่าน อ้างว่าได้ยิงขีปนาวุธและส่งโดรนโจมตีพื้นที่ทางตอนใต้ของอิสราเอล
ธนาคารโลกออกรายงานเตือนว่า หากสถานการณ์ตึงเครียดในตะวันออกกลางทวีความรุนแรงจนส่งผลกระทบต่ออุปทานน้ำมัน ก็อาจจะทำให้ราคาน้ำมันพุ่งขึ้นแตะระดับ 157 ดอลลาร์/บาร์เรล