สัญญาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส (WTI) ตลาดนิวยอร์กปิดบวกในวันจันทร์ (6 พ.ย.) หลังจากซาอุดีอาระเบียและรัสเซียยืนยันการปรับลดอุปทานน้ำมันจนถึงสิ้นปีนี้
ทั้งนี้ สัญญาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือนธ.ค. เพิ่มขึ้น 31 เซนต์ หรือ 0.4% ปิดที่ 80.82 ดอลลาร์/บาร์เรล
ส่วนสัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ (BRENT) ส่งมอบเดือนม.ค. เพิ่มขึ้น 29 เซนต์ หรือ 0.34% ปิดที่ 85.18 ดอลลาร์/บาร์เรล
จอห์น คิลดัฟฟ์ นักวิเคราะห์จากบริษัท Again Capital LLC กล่าวว่า ราคาน้ำมันดีดตัวขึ้นหลังจากซาอุดีอาระเบียและรัสเซียแถลงยืนยันเมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมาว่าทั้งสองประเทศจะเดินหน้าปรับลดอุปทานน้ำมันตามที่ให้คำมั่นสัญญาไว้ โดยซาอุดีอาระเบียจะขยายเวลาปรับลดกำลังการผลิตน้ำมันโดยสมัครใจจำนวน 1 ล้านบาร์เรล/วันจนถึงสิ้นปีนี้ และรัสเซียขยายเวลาปรับลดการส่งออกน้ำมัน 300,000 บาร์เรล/วันจนถึงสิ้นปีนี้เช่นกัน
จิโอวานนี สตาโนโว นักวิเคราะห์จากธนาคารยูบีเอสคาดการณ์ว่า ซาอุดีอาระเบียและรัสเซียอาจจะขยายเวลาการปรับลดอุปทานน้ำมันไปจนถึงไตรมาสแรกของปี 2567 โดยมีสาเหตุมาจากอุปสงค์น้ำมันที่มักจะชะลอตัวลงในช่วงต้นปี ประกอบกับความกังวลเกี่ยวกับภาวะซบเซาทางเศรษฐกิจ รวมทั้งเป้าหมายของกลุ่มโอเปกพลัสที่ต้องการสนับสนุนเสถียรภาพและความสมดุลในตลาดน้ำมัน
นักลงทุนจับตาข้อมูลเศรษฐกิจจีนในสัปดาห์นี้ เพื่อประเมินแนวโน้มอุปสงค์น้ำมันของจีนซึ่งเป็นหนึ่งในประเทศที่นำเข้าน้ำมันรายใหญ่ของโลก โดยในวันนี้ (7 พ.ย.) สำนักงานศุลกากรจีนจะเปิดเผยยอดนำเข้า, ส่งออก และดุลการค้าประจำเดือนต.ค. ส่วนในวันพรุ่งนี้ สำนักงานสถิติแห่งชาติจีนจะเปิดเผยดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) และดัชนีราคาผู้ผลิต (PPI) ประจำเดือนต.ค.
นอกจากนี้ นักลงทุนยังจับตาสถานการณ์ของช่องแคบฮอร์มุซ (Strait of Hormuz) อย่างใกล้ชิด นับตั้งแต่อิสราเอลประกาศทำสงครามกับกลุ่มฮามาสตั้งแต่วันที่ 7 ต.ค.ที่ผ่านมา โดยช่องแคบฮอร์มุซเป็นเส้นทางขนส่งน้ำมันที่สำคัญที่สุดในโลก และกำลังถูกจับตาอย่างใกล้ชิดว่าจะได้รับผลกระทบจากความขัดแย้งครั้งนี้หรือไม่
ข้อมูลจากสำนักงานสารสนเทศด้านการพลังงานของสหรัฐ (EIA) ระบุว่า ช่องแคบฮอร์มุซซึ่งคั่นกลางระหว่างประเทศโอมานและอิหร่านนั้น ถูกใช้เป็นช่องทางขนส่งน้ำมันในอัตราส่วน 1 ใน 5 ของปริมาณการผลิตน้ำมันทั่วโลกในแต่ละวัน นอกจากนี้ ยังเป็นเส้นทางที่มีความสำคัญทางยุทธศาสตร์ที่เชื่อมต่อระหว่างกลุ่มผู้ผลิตน้ำมันดิบในตะวันออกกลางกับตลาดที่สำคัญทั่วโลก
แบงก์ ออฟ อเมริกาคาดการณ์ว่า หากอิสราเอลใช้ปฏิบัติการตอบโต้อิหร่านก็อาจทำให้ช่องแคบฮอร์มุซมีความเสี่ยงที่จะถูกปิด และอาจส่งผลให้ราคาน้ำมันพุ่งขึ้นสูงกว่าระดับ 250 ดอลลาร์/บาร์เรล โดยอิหร่านเป็นผู้ผลิตน้ำมันรายใหญ่ และกลุ่มติดอาวุธที่อิหร่านให้การสนับสนุนได้แก่กลุ่มฮามาสและกลุ่มฮิซบอลเลาะห์