สัญญาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส (WTI) ตลาดนิวยอร์กปิดบวกในวันพุธ (13 ธ.ค.) ขานรับสต็อกน้ำมันดิบสหรัฐที่ลดลงมากกว่าคาดในสัปดาห์ที่แล้ว นอกจากนี้ ราคาน้ำมันยังได้แรงหนุนจากการที่ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ส่งสัญญาณปรับลดอัตราดอกเบี้ยหลายครั้งในปีหน้า รวมทั้งข่าวเรือบรรทุกน้ำมันถูกโจมตีในทะเลแดง ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อการลำเลียงน้ำมันในตะวันออกกลาง
ทั้งนี้ สัญญาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือนม.ค. เพิ่มขึ้น 86 เซนต์ หรือ 1.3% ปิดที่ 69.47 ดอลลาร์/บาร์เรล
ส่วนสัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ (BRENT) ส่งมอบเดือนก.พ. เพิ่มขึ้น 1.02 ดอลลาร์ หรือ 1.4% ปิดที่ 74.26 ดอลลาร์/บาร์เรล
สำนักงานสารสนเทศด้านการพลังงานของรัฐบาลสหรัฐ (EIA) เปิดเผยว่า สต็อกน้ำมันดิบสหรัฐลดลง 4.2 ล้านบาร์เรลในสัปดาห์ที่สิ้นสุดวันที่ 8 ธ.ค. ซึ่งมากกว่าที่นักวิเคราะห์คาดว่าจะลดลงเพียง 650,000 บาร์เรล
ส่วนสต็อกน้ำมันเบนซินเพิ่มขึ้นเพียง 400,000 บาร์เรล น้อยกว่าที่นักวิเคราะห์คาดว่าจะเพิ่มขึ้น 1.9 ล้านบาร์เรล
ราคาน้ำมันยังได้แรงหนุนจากการที่เฟดมีมติเป็นเอกฉันท์ให้คงอัตราดอกเบี้ยระยะสั้นที่ระดับ 5.25-5.50% ในการประชุมเมื่อวานนี้ ซึ่งเป็นไปตามที่ตลาดคาดการณ์ไว้ พร้อมกับส่งสัญญาณปรับลดอัตราดอกเบี้ยอย่างน้อย 3 ครั้งในปี 2567 ซึ่งทำให้นักลงทุนมีความหวังว่าการปรับลดอัตราดอกเบี้ยจะเป็นปัจจัยกระตุ้นเศรษฐกิจและทำให้ความต้องการใช้น้ำมันปรับตัวขึ้นด้วย
นอกจากนี้ ราคาน้ำมันยังดีดตัวขึ้นหลังจากมีรายงานว่า กลุ่มกบฏฮูตีในเยเมนได้ใช้จรวดโจมตีเรือบรรทุกน้ำมันชื่อ "STRINDA" ในทะเลแดง ส่งผลให้เรือน้ำมันสัญชาตินอร์เวย์ลำนี้เกิดเพลิงไหม้และเสียหาย
ทั้งนี้ กลุ่มกบฏฮูตีซึ่งได้รับการสนับสนุนจากอิหร่านได้ก่อเหตุโจมตีเรือในทะเลแดงหลายครั้ง นับตั้งแต่กลุ่มฮามาสเปิดฉากโจมตีอิสราเอลเมื่อวันที่ 7 ต.ค. พร้อมกับเตือนว่าจะโจมตีเรือทุกลำที่มุ่งหน้าไปยังอิสราเอลโดยไม่สนใจสัญชาติ เพื่อเป็นการแสดงออกถึงการสนับสนุนชาวปาเลสไตน์ในฉนวนกาซา