สัญญาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส (WTI) ตลาดนิวยอร์กปิดร่วงลงเกือบ 2% ในวันพุธ (27 ธ.ค.) หลังจากมีรายงานว่าเรือขนส่งสินค้าจะเริ่มกลับมาเดินเรือในทะเลแดงอีกครั้ง ซึ่งทำให้นักลงทุนคลายความกังวลเกี่ยวกับวิกฤตการณ์ในทะเลแดง
ทั้งนี้ สัญญาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือนก.พ. ลดลง 1.46 ดอลลาร์ หรือ 1.93% ปิดที่ 74.11 ดอลลาร์/บาร์เรล
ส่วนสัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ (BRENT) ส่งมอบเดือนก.พ. ลดลง 1.42 ดอลลาร์ หรือ 1.75% ปิดที่ 79.65 ดอลลาร์/บาร์เรล
เมอส์ก (Maersk) ซึ่งเป็นบริษัทขนส่งสินค้าทางเรือรายใหญ่สัญชาติเดนมาร์ก, ซีเอ็มเอ ซีจีเอ็ม (CMA CGM) ซึ่งเป็นบริษัทขนส่งรายใหญ่ของฝรั่งเศส และบริษัทฮาแพค-ลอยด์ (Hapag-Lloyd) ของเยอรมนี ประกาศว่าจะกลับมาเดินเรือในทะเลแดงอีกครั้ง หลังจากสหรัฐและชาติพันธมิตรอีกกว่า 10 ประเทศได้เปิดปฏิบัติการผู้พิทักษ์ความเจริญรุ่งเรือง (Operation Prosperity Guardian) เพื่อปกป้องเส้นทางเดินเรือในทะเลแดงจากการโจมตีของกลุ่มฮูตี
ข่าวดังกล่าวส่งผลให้ราคาน้ำมัน WTI ปรับตัวลง หลังจากพุ่งขึ้นกว่า 2% เมื่อวันอังคารที่ผ่านมา จากรายงานที่ว่า กลุ่มกบฏฮูตีได้ใช้ขีปนาวุธโจมตีเรือพาณิชย์ MSC United หลังจากเรือดังกล่าวปฏิเสธที่จะเปลี่ยนเส้นทาง แม้มีการเตือนถึง 3 ครั้ง
อย่างไรก็ดี นักวิเคราะห์คาดว่าสงครามที่ยืดเยื้อระหว่างอิสราเอลและกลุ่มฮามาสจะยังคงเป็นปัจจัยขับเคลื่อนตลาดน้ำมัน โดยรายงานระบุว่ากองกำลังทหารอิสราเอลได้ทำการโจมตีฉนวนกาซาทั้งทางบก ทางทะเล และทางอากาศเมื่อวานนี้ ซึ่งเกิดขึ้นเพียงวันเดียวหลังจากพลตรีเฮอร์ซี ฮาเลวี ผู้บัญชาการกองทัพอิสราเอลส่งสัญญาณว่า การทำสงครามในฉนวนกาซาจะยังคงดำเนินต่อไปอีกหลายเดือน
สถาบันปิโตรเลียมอเมริกา (API) เปิดเผยว่า สต็อกน้ำมันดิบของสหรัฐลดลง 1.84 ล้านบาร์เรลในสัปดาห์ที่แล้ว ขณะที่นักลงทุนจับตาตัวเลขสต็อกน้ำมันดิบอย่างเป็นทางการจากสำนักงานสารสนเทศด้านการพลังงานของรัฐบาลสหรัฐ (EIA) ในวันนี้