สัญญาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส (WTI) ตลาดนิวยอร์กปิดลบในวันอังคาร (2 ม.ค.) เนื่องจากการแข็งค่าของสกุลเงินดอลลาร์เป็นปัจจัยกดดันตลาด ขณะที่นักลงทุนจับตาสถานการณ์ในทะเลแดงอย่างใกล้ชิด หลังจากสื่อรายงานว่าอิหร่านได้ส่งเรือรบอัลบอร์ซ (Alborz) เข้าสู่ทะเลแดง ซึ่งจะเพิ่มความตึงเครียดในภูมิภาค
ทั้งนี้ สัญญาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือนก.พ. ลดลง 1.27 ดอลลาร์ หรือ 1.8% ปิดที่ 70.38 ดอลลาร์/บาร์เรล
ส่วนสัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ (BRENT) ส่งมอบเดือนมี.ค. ลดลง 1.15 ดอลลาร์ หรือ 1.5% ปิดที่ 75.89 ดอลลาร์/บาร์เรล
ภาวะการซื้อขายในตลาดน้ำมันเป็นไปอย่างผันผวน โดยในช่วงแรก ราคาน้ำมัน WTI พุ่งขึ้นกว่า 2% ทะลุระดับ 73 ดอลลาร์ หลังจากสื่อรายงานว่า อิหร่านส่งเรือรบอัลบอร์ซเข้าสู่ทะเลแดง หลังจากกองทัพเรือสหรัฐได้ทำลายเรือ 3 ลำของกลุ่มกบฏฮูตีซึ่งเป็นกลุ่มติดอาวุธที่อิหร่านให้การสนับสนุน โดยความเคลื่อนไหวของอิหร่านอาจทำให้สถานการณ์ตึงเครียดในทะเลแดงทวีความรุนแรงมากขึ้น และจะทำให้ปฏิบัติการปกป้องทะเลแดงของกองทัพเรือสหรัฐมีความซับซ้อนมากขึ้น
แต่ราคาน้ำมันปรับตัวลงในเวลาต่อมา เนื่องจากการแข็งค่าของสกุลเงินดอลลาร์ทำให้สัญญาน้ำมันซึ่งกำหนดราคาเป็นดอลลาร์นั้น มีราคาแพงขึ้นและไม่น่าดึงดูดใจสำหรับนักลงทุนที่ถือครองสกุลเงินอื่น ๆ โดยดัชนีดอลลาร์ซึ่งเป็นดัชนีวัดความเคลื่อนไหวของดอลลาร์เมื่อเทียบกับสกุลเงินหลัก 6 สกุลในตะกร้าเงิน ปรับตัวขึ้น 0.86% แตะที่ระดับ 102.200 เมื่อคืนนี้
นอกจากนี้ ราคาน้ำมันยังถูกกดดันจากการที่นักลงทุนเริ่มไม่มั่นใจเกี่ยวกับแนวโน้มการปรับลดอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ในปีนี้ หลังจากที่ก่อนหน้านี้ตลาดน้ำมันได้รับปัจจัยหนุนจากการคาดการณ์ว่าเฟดจะเริ่มปรับลดอัตราดอกเบี้ยในปีนี้ ซึ่งจะช่วยกระตุ้นการเติบโตทางเศรษฐกิจและความต้องการใช้น้ำมัน
นักวิเคราะห์จากบริษัท Lipow Oil Associates แสดงความเห็นว่า "ตลาดมองว่านับจนถึงขณะนี้สถานการณ์ในทะเลแดงยังไม่ส่งผลกระทบต่ออุปทานน้ำมัน และคาดว่าสถานการณ์ยังไม่ตึงเครียดจนนำไปสู่การเผชิญหน้ากันระหว่างเรือรบของอิหร่านและเรือรบของสหรัฐ อย่างไรก็ดี เราคาดว่าราคาน้ำมันจะพุ่งขึ้นทันที หากทั้งสองฝ่ายมีการยิงกัน"
นักลงทุนจับตาการเปิดเผยสต็อกน้ำมันดิบของสถาบันปิโตรเลียมอเมริกา (API) ในวันนี้ ก่อนที่สำนักงานสารสนเทศด้านการพลังงานของรัฐบาลสหรัฐ (EIA) จะเปิดเผยข้อมูลอย่างเป็นทางการในวันพฤหัสบดี