สัญญาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส (WTI) ตลาดนิวยอร์กปิดพุ่งขึ้นกว่า 3% ในวันพุธ (3 ม.ค.) หลังจากมีรายงานว่า ลิเบียซึ่งเป็นหนึ่งในสมาชิกของกลุ่มประเทศผู้ส่งออกน้ำมัน (โอเปก) สั่งปิดบ่อน้ำมันชารารา (Sharara) เนื่องจากการประท้วงของคนงาน นอกจากนี้ ราคาน้ำมันยังพุ่งขึ้นเนื่องจากความกังวลว่าสถานการณ์ตึงเครียดในตะวันออกกลางจะทวีความรุนแรงมากขึ้นและจะส่งผลกระทบต่ออุปทานน้ำมั้นในตลาดโลก
ทั้งนี้ สัญญาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือนก.พ. เพิ่มขึ้น 2.32 ดอลลาร์ หรือ 3.3% ปิดที่ 72.70 ดอลลาร์/บาร์เรล
ส่วนสัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ (BRENT) ส่งมอบเดือนมี.ค. เพิ่มขึ้น 2.36 ดอลลาร์ หรือ 3.1% ปิดที่ 78.25 ดอลลาร์/บาร์เรล
เคร็ก เออร์แลม นักวิเคราะห์จากบริษัท OANDA กล่าวว่า ราคาน้ำมันพุ่งขึ้นหลังมีรายงานว่าลิเบียทำการปิดบ่อน้ำมันชาราราซึ่งมีกำลังการผลิต 300,000 บาร์เรล/วัน เนื่องจากประสบปัญหาการประท้วงของคนงาน นอกจากนี้ สถานการณ์ตึงเครียดในตะวันออกกลางและทะเลแดงยังเป็นอีกปัจจัยที่ทำให้ราคาน้ำมันพุ่งขึ้นด้วย
สถานการณ์ในตะวันออกลางมีแนวโน้มบานปลายเป็นวงกว้าง หลังจากมีรายงานว่านายซาเลห์ อัล-อารูรี ผู้นำอาวุโสของกลุ่มฮามาสได้ถูกสังหารจากเหตุระเบิดในเมืองเบรุตของเลบานอน ขณะที่นายกรัฐมนตรีเลบานอนกล่าวโทษว่าเป็นการกระทำของอิสราเอล และเชื่อว่าอิสราเอลมีเจตนาที่จะลากเลบานอนเข้าไปพัวพันในสงครามระหว่างอิสราเอลและฮามาส
ทางด้านกลุ่มฮิซบอลเลาะห์ซึ่งเป็นกลุ่มติดอาวุธในเลบานอนที่อิหร่านให้การสนับสนุน เตือนว่าการสังหารผู้นำอาวุโสของกลุ่มฮามาสถือเป็นอาชญากรรมที่ร้ายแรง และกลุ่มฮิซบอลเลาะห์จะไม่อยู่นิ่งเฉย
นอกจากนี้มีรายงานว่า เกิดเหตุลอบวางระเบิดในพิธีรำลึกถึงการจากไปของนายพลกอเซม โซเลมานี อดีตผู้บัญชาการกองกำลังคุดส์ ซึ่งเป็นหน่วยงานในสังกัดกองกำลังพิทักษ์การปฏิวัติอิหร่าน (IRGC) ส่งผลให้ผู้เข้าร่วมพิธีรำลึกในครั้งนี้เสียชีวิตจำนวนมากกว่า 100 ราย โดยนายพลกอเซมถูกสหรัฐใช้โดรนลอบสังหารเมื่อปี 2563
ตลาดจับตาการเปิดเผยสต็อกน้ำมันดิบของสำนักงานสารสนเทศด้านการพลังงานของรัฐบาลสหรัฐ (EIA) ในวันนี้