สัญญาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส (WTI) ตลาดนิวยอร์กปิดร่วงลงกว่า 4% ในวันจันทร์ (8 ม.ค.) หลังจากซาอุดีอาระเบียประกาศลดราคาน้ำมันครั้งใหญ่ และกลุ่มประเทศผู้ส่งออกน้ำมัน (โอเปก) ปรับเพิ่มการผลิต ซึ่งข่าวดังกล่าวทำให้นักลงทุนกังวลเกี่ยวกับอุปสงค์ที่อ่อนแอ และภาวะน้ำมันล้นตลาด
ทั้งนี้ สัญญาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือนก.พ. ลดลง 3.04 ดอลลาร์ หรือ 4.1% ปิดที่ 70.77 ดอลลาร์/บาร์เรล
ส่วนสัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ (BRENT) ส่งมอบเดือนมี.ค. ลดลง 2.64 ดอลลาร์ หรือ 3.4% ปิดที่ 76.12 ดอลลาร์/บาร์เรล
ราคาน้ำมันร่วงลง หลังจากซาอุดี อารามโค ซึ่งเป็นบริษัทน้ำมันของรัฐบาลซาอุดีอาระเบีย ประกาศปรับลดราคาน้ำมันดิบ Arab Light ที่จำหน่ายให้แก่ตลาดเอเชีย และมีกำหนดส่งมอบในเดือนก.พ. ลงสู่ระดับต่ำสุดในรอบ 27 เดือน เพื่อแย่งชิงส่วนแบ่งในตลาด ท่ามกลางการแข่งขันที่ดุเดือดระหว่างผู้ส่งออกน้ำมัน
ตลาดยังถูกกดดันจากรายงานที่ว่า กลุ่มโอเปกผลิตน้ำมันเพิ่มขึ้น 70,000 บาร์เรล/วัน สู่ระดับ 27.88 ล้านบาร์เรล/วันในเดือนธ.ค.
นักลงทุนยังคงจับตาสถานการณ์ตึงเครียดในตะวันออกกลาง โดยล่าสุดมีรายงานว่านายแอนโทนี บลิงเกน รัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐได้จัดการประชุมร่วมกับผู้นำชาติอาหรับเมื่อวานนี้ โดยมีเป้าหมายที่จะป้องกันไม่ให้สงครามในฉนวนกาซาลุกลามเป็นวงกว้าง
นอกจากนี้ ตลาดยังติดตามผลกระทบของการปิดบ่อน้ำมันในลิเบีย หลังจากมีรายงานว่าบรรษัทน้ำมันแห่งชาติของลิเบียประกาศภาวะสุดวิสัย (Force Majeure) ที่บ่อน้ำมันชารารา (Sharara) หลังจากลิเบียปิดบ่อน้ำมันแห่งนี้เนื่องจากประสบปัญหาการประท้วงของคนงาน โดยบ่อน้ำมันชารารามีกำลังการผลิตสูงถึง 300,000 บาร์เรล/วัน
ทั้งนี้ ภาวะสุดวิสัยเป็นส่วนหนึ่งที่ระบุในสัญญาซึ่งจัดทำขึ้นเพื่อช่วยให้คู่สัญญาฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเป็นอิสระจากข้อบังคับทางกฎหมาย เมื่อเกิดเหตุการณ์ที่ไม่สามารถควบคุมได้ อาทิ ข้อพิพาทด้านแรงงาน การก่อการร้าย และภัยพิบัติทางธรรมชาติ