สัญญาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส (WTI) ตลาดนิวยอร์กปิดลบในวันพุธ (10 ม.ค.) หลังสหรัฐเปิดเผยสต็อกน้ำมันดิบเพิ่มขึ้นสวนทางกับการคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ ซึ่งทำให้นักลงทุนวิตกกังวลเกี่ยวกับอุปสงค์ที่ชะลอตัวลงในสหรัฐซึ่งเป็นตลาดน้ำมันขนาดใหญ่
ทั้งนี้ สัญญาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือนก.พ. ลดลง 87 เซนต์ หรือ 1.2% ปิดที่ 71.37 ดอลลาร์/บาร์เรล
ส่วนสัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ (BRENT) ส่งมอบเดือนมี.ค. ลดลง 79 เซนต์ หรือ 1% ปิดที่ 76.80 ดอลลาร์/บาร์เรล
ในช่วงแรกนั้น ราคาน้ำมัน WTI พุ่งขึ้นกว่า 1% หลังมีรายงานว่ากลุ่มกบฏฮูตีได้ยกระดับการโจมตีเรือสินค้าที่แล่นผ่านทะเลแดง โดยอ้างว่าเป็นการตอบโต้อิสราเอลที่ใช้ปฏิบัติการทางทหารต่อชาวปาเลสไตน์ในฉนวนกาซา ซึ่งสถานการณ์ดังกล่าวทำให้นักลงทุนกังวลว่าวิกฤตการณ์ในทะเลแดงอาจจะส่งผลกระทบต่อการส่งออกน้ำมันจากตะวันออกกลาง
แต่ราคาน้ำมันปรับตัวลงในเวลาต่อมา หลังจากสำนักงานสารสนเทศด้านการพลังงานของรัฐบาลสหรัฐ (EIA) เปิดเผยว่า สต็อกน้ำมันดิบสหรัฐเพิ่มขึ้น 1.3 ล้านบาร์เรลในสัปดาห์ที่แล้ว ซึ่งสวนทางกับที่นักวิเคราะห์คาดว่าจะลดลง 675,000 บาร์เรล
ส่วนสต็อกน้ำมันเบนซินเพิ่มขึ้น 8.0 ล้านบาร์เรล ซึ่งมากกว่าที่นักวิเคราะห์คาดว่าจะเพิ่มขึ้นเพียง 2.4 ล้านบาร์เรล และสต็อกน้ำมันกลั่นซึ่งรวมถึงฮีตติ้งออยล์และน้ำมันดีเซล เพิ่มขึ้น 6.5 ล้านบาร์เรล มากกว่าที่นักวิเคราะห์คาดว่าจะเพิ่มขึ้นเพียง 2.3 ล้านบาร์เรล
นักลงทุนยังคงจับตาสถานการณ์ตึงเครียดในทะเลแดงอย่างใกล้ชิด โดยนายแอนโทนี บลิงเกน รัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐเปิดเผยว่ากลุ่มกบฏฮูตีได้ทำการโจมตีเรือบรรทุกสินค้าหลายร้อยครั้งในทะเลแดง และการโจมตีที่รุนแรงที่สุดมีขึ้นเมื่อวันอังคารที่ผ่านมา (9 ม.ค.) พร้อมกับแสดงความกังวลว่า การโจมตีเรือสินค้าได้ส่งผลกระทบต่อประชาชนที่ต้องจ่ายเงินซื้อสินค้าในราคาแพงขึ้น เนื่องจากเรือบรรทุกสินค้าเหล่านี้ต้องเสียค่าใช้จ่ายมากขึ้นในการเดินทางอ้อมทวีปแอฟริกา