สัญญาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส (WTI) ตลาดนิวยอร์กปิดบวกในวันศุกร์ (12 ม.ค.) และปิดที่ระดับสูงสุดในรอบ 1 สัปดาห์ ท่ามกลางความตึงเครียดในทะเลแดงซึ่งทำให้เกิดความวิตกครั้งใหม่เกี่ยวกับภาวะชะงักงันด้านอุปทานน้ำมัน หลังจากที่สหรัฐและอังกฤษใช้ปฏิบัติการทางอากาศโจมตีกลุ่มกบฏฮูตีในเยเมน
ทั้งนี้ สัญญาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือนก.พ. เพิ่มขึ้น 66 เซนต์ หรือ 0.92% ปิดที่ 72.68 ดอลลาร์/บาร์เรล แต่ราคาปรับตัวลง 1.5% ในรอบสัปดาห์นี้
ส่วนสัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ (BRENT) ส่งมอบเดือนมี.ค. เพิ่มขึ้น 88 เซนต์ หรือ 1.14% ปิดที่ 78.29 ดอลลาร์/บาร์เรล แต่ลดลง 0.6% ในรอบสัปดาห์นี้
ตลาดน้ำมันได้แรงหนุนจากความวิตกเกี่ยวกับภาวะชะงักงันด้านอุปทาน หลังจากสหรัฐและอังกฤษใช้ปฏิบัติการทางอากาศพุ่งเป้าโจมตีฐานที่มั่น 16 แห่งของกลุ่มกบฏฮูตีในวันพฤหัสบดี (11 ม.ค.) ซึ่งสร้างความเสียหายต่อฐานที่ตั้งเรดาร์ คลังสรรพาวุธ และแท่นยิงจรวด โดยปฏิบัติการดังกล่าวมีขึ้นหลังจากที่กลุ่มฮูตีได้ทำการโจมตีเรือสินค้าอย่างต่อเนื่องเป็นเวลานานหลายสัปดาห์ โดยอ้างว่าเป็นการตอบโต้อิสราเอลที่ใช้ปฏิบัติการทางทหารต่อชาวปาเลสไตน์ในฉนวนกาซา และเพื่อเป็นการแสดงออกถึงการสนับสนุนชาวปาเลสไตน์
นายอับดุล-มาลิค อัล-ฮูตี ผู้นำกลุ่มกบฏฮูตีประกาศว่า อเมริกาจะต้องชดใช้ต่อการโจมตีกลุ่มฮูตี
"เราจะเผชิญหน้ากับความก้าวร้าวของอเมริกา และความก้าวร้าวใดๆ ของอเมริกาจะไม่ถูกปล่อยผ่านโดยไม่มีการตอบโต้ และการตอบโต้นี้จะใหญ่กว่าที่ฮูตีเคยดำเนินการมาในทะเล" ผู้นำฮูตีกล่าว
ด้านนายฮุสเซน อัล-เอซซี เจ้าหน้าที่อาวุโสของกลุ่มฮูตีกล่าวว่า อเมริกาและอังกฤษจะต้องเตรียมชดใช้ในราคาแพง และรับผลกระทบจากความก้าวร้าวในครั้งนี้
ส่วนเจ้าหน้าที่ฮูตีรายอื่น ๆ กล่าวแสดงความไม่พอใจเช่นกัน โดยระบุว่า การโจมตีของสหรัฐเป็นการกระทำที่ป่าเถื่อนและไม่เป็นธรรม ซึ่งฮูตีจะยังคงเดินหน้าโจมตีเรือของอิสราเอลหรือเรือทุกลำในทะเลแดงต่อไป