สัญญาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส (WTI) ตลาดนิวยอร์กปิดบวกในวันพฤหัสบดี (18 ม.ค.) หลังจากสำนักงานพลังงานสากล (IEA) และกลุ่มประเทศผู้ส่งออกน้ำมัน (โอเปก) คาดการณ์ว่าอุปสงค์น้ำมันในตลาดโลกจะปรับตัวสูงขึ้นในปีนี้ นอกจากนี้ ตลาดยังได้แรงหนุนจากสต็อกน้ำมันดิบสหรัฐที่ปรับตัวลดลงในสัปดาห์ที่แล้ว
ทั้งนี้ สัญญาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือนก.พ. เพิ่มขึ้น 1.52 ดอลลาร์ หรือ 2.09% ปิดที่ 74.08 ดอลลาร์/บาร์เรล
ส่วนสัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ (BRENT) ส่งมอบเดือนมี.ค. เพิ่มขึ้น 1.22 ดอลลาร์ หรือ 1.6% ปิดที่ 79.10 ดอลลาร์/บาร์เรล
ราคาน้ำมัน WTI ดีดตัวขึ้นกว่า 2% หลังจาก IEA ปรับเพิ่มคาดการณ์อุปสงค์น้ำมันในปีนี้สู่ระดับ 1.24 ล้านบาร์เรล/วัน จากตัวเลขคาดการณ์เดิมที่ระดับ 1.06 ล้านบาร์เรล/วัน
ขณะที่กลุ่มโอเปกคาดการณ์ว่าอุปสงค์น้ำมันโลกจะขยายตัว 2.25 ล้านบาร์เรล/วันในปีนี้ และเพิ่มขึ้น 1.85 ล้านบาร์เรล/วันในปีหน้า
ตลาดยังได้แรงหนุนจากรายงานของสำนักงานสารสนเทศด้านการพลังงานของรัฐบาลสหรัฐ (EIA) ซึ่งระบุว่า สต็อกน้ำมันดิบสหรัฐลดลง 2.5 ล้านบาร์เรลในสัปดาห์ที่แล้ว ซึ่งมากกว่าที่นักวิเคราะห์คาดว่าจะลดลงเพียง 313,000 บาร์เรล
นักลงทุนคาดการณ์ว่า สถานการณ์ตึงเครียดในตะวันออกกลางจะส่งผลกระทบต่ออุปทานน้ำมันและเป็นปัจจัยหนุนราคาน้ำมัน โดยล่าสุดกองทัพสหรัฐใช้ปฏิบัติการโจมตีฐานที่มั่นของกลุ่มกบฏฮูตีในเยเมนระลอกใหม่เมื่อช่วงเช้าตรู่วานนี้ เพื่อตอบโต้กบฏฮูตีที่ใช้โดรนโจมตีเรือบรรทุกสินค้าของสหรัฐในอ่าวเอเดนเมื่อวันพุธที่ผ่านมา
ขณะเดียวกันมีรายงานว่า กองทัพปากีสถานได้เปิดฉากยิงขีปนาวุธโจมตีกลุ่มติดอาวุธแบ่งแยกดินแดนในจังหวัดซีสถานและบาโลชิสถานในประเทศอิหร่าน เพื่อตอบโต้อิหร่านที่โจมตีฐานที่มั่นของกลุ่มจาอิช อัล-อัดล์ ซึ่งเป็นชาวมุสลิมนิกายชีอะห์ที่เคลื่อนไหวโจมตีกองกำลังอิหร่านตามบริเวณชายแดน