สัญญาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส (WTI) ตลาดนิวยอร์กปิดพุ่งขึ้นกว่า 2% ในวันจันทร์ (22 ม.ค.) หลังจากมีรายงานว่ากองทัพยูเครนส่งโดรนโจมตีโรงงานน้ำมันของรัสเซีย ซึ่งทำให้เกิดความกังวลว่าอาจจะส่งผลกระทบต่ออุปทานพลังงานในตลาดโลก
ทั้งนี้ สัญญาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือนก.พ. เพิ่มขึ้น 1.78 ดอลลาร์ หรือ 2.4% ปิดที่ 75.19 ดอลลาร์/บาร์เรล
ส่วนสัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ (BRENT) ส่งมอบเดือนมี.ค. เพิ่มขึ้น 1.50 ดอลลาร์ หรือ 1.9% ปิดที่ 80.06 ดอลลาร์/บาร์เรล
ราคาน้ำมันพุ่งขึ้นหลังจากมีรายงานว่า กองทัพยูเครนได้ส่งโดรนโจมตีโรงงานน้ำมันของบริษัทโนวาเทก (Novatek) ซึ่งเป็นบริษัทพลังงานของรัสเซีย เมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา (21 ม.ค.) ส่งผลให้ทางบริษัทตัดสินใจระงับการดำเนินงานที่สถานีส่งออกเชื้อเพลิงอุสต์-ลูกา (Ust-Luga) ในทะเลบอลติก
ทั้งนี้ อุสต์-ลูกา เป็นสถานีส่งออกเชื้อเพลิงขนาดใหญ่ซึ่งตั้งอยู่ห่างจากนครเซนต์ปีเตอร์สเบิร์กของรัสเซียไปทางตะวันตกราว 170 กิโลเมตร โดยใช้ขนส่งน้ำมันและก๊าซออกสู่ตลาดโลก สถานีแห่งนี้แปรรูปก๊าซธรรมชาติเหลวหรือคอนเดนเสท (condensate) ให้กลายเป็นแนฟทา (naphtha) ชนิดเบาและหนัก น้ำมันก๊าด และน้ำมันดีเซล เพื่อขนส่งทางทะเลไปยังต่างประเทศ
ผู้เชี่ยวชาญตั้งข้อสังเกตว่า การโจมตีดังกล่าวแสดงให้เห็นถึงความสามารถของยูเครนในการโจมตีลึกเข้าไปในดินแดนของรัสเซียมากกว่าปกติ โดยคาดว่าเป็นการใช้โดรนที่ผลิตในประเทศ ขณะที่ยูเครนกำลังอยู่ในสถานะตั้งรับในการสู้รบ และต้องการเงินทุนสนับสนุนจากประเทศตะวันตก
นอกจากนี้ ราคาน้ำมันยังปรับตัวขึ้นหลังจากมีรายงานว่า สภาพอากาศที่หนาวจัดทั่วสหรัฐกำลังส่งผลกระทบต่อการผลิตน้ำมันดิบในรัฐนอร์ทดาโคตาและรัฐอื่น ๆ ของสหรัฐ โดยหน่วยงานกำกับดูแลท่อส่งน้ำมันของรัฐนอร์ทดาโคตาเปิดเผยว่า ทางรัฐได้ปิดสายการผลิตน้ำมันประมาณ 20% เมื่อวานนี้ เนื่องจากสภาพอากาศที่หนาวเย็นสุดขั้ว
นักลงทุนยังคงจับตาสถานการณ์ตึงเครียดในตะวันออกกลางและผลกระทบที่อาจจะมีต่ออุปทานน้ำมันในตลาด รวมทั้งจับตารายงานสต็อกน้ำมันดิบจากสำนักงานสารสนเทศด้านพลังงานสหรัฐ (EIA) ในวันพุธนี้