สัญญาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส (WTI) ตลาดนิวยอร์กปิดลบในวันอังคาร (23 ม.ค.) หลังจากมีรายงานว่าการผลิตน้ำมันในพื้นที่บางส่วนของสหรัฐปรับตัวสูงขึ้น รวมทั้งอุปทานน้ำมันในลิเบียและนอร์เวย์ที่เพิ่มขึ้นเช่นกัน ขณะที่นักลงทุนจับตาการเปิดเผยสต็อกน้ำมันดิบจากหน่วยงานของรัฐบาลสหรัฐในวันนี้
ทั้งนี้ สัญญาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือนมี.ค. ลดลง 39 เซนต์ หรือ 0.5% ปิดที่ 74.37 ดอลลาร์/บาร์เรล
ส่วนสัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ (BRENT) ส่งมอบเดือนมี.ค. ลดลง 51 เซนต์ หรือ 0.6% ปิดที่ 79.55 ดอลลาร์/บาร์เรล
ราคาน้ำมันปรับตัวลง หลังจากมีรายงานว่ารัฐนอร์ทดาโคตา ซึ่งเป็นแหล่งผลิตน้ำมันขนาดใหญ่อันดับ 3 ของสหรัฐ เริ่มกลับมาผลิตน้ำมันได้อีกครั้ง หลังจากทางรัฐได้ปิดสายการผลิตบางส่วนเมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา อันเนื่องมาจากสภาพอากาศที่หนาวจัด
จอห์น คิลดัฟฟ์ นักวิเคราะห์จากบริษัท Again Capital LLC กล่าวว่า ตลาดยังถูกกดดันจากรายงานของสถาบันปิโตรเลียมอเมริกา (API) ซึ่งระบุว่า สต็อกน้ำมันเบนซินของสหรัฐพุ่งขึ้น 7.2 ล้านบาร์เรลในสัปดาห์ที่สิ้นสุดวันที่ 19 ม.ค. ซึ่งบ่งชี้ว่าอุปสงค์น้ำมันเบนซินในสหรัฐอ่อนแอลง
นอกจากนี้มีรายงานว่า การผลิตน้ำมันดิบในนอร์เวย์ปรับตัวเพิ่มขึ้นแตะระดับ 1.85 ล้านบาร์เรล/วันในเดือนธ.ค. ซึ่งเพิ่มขึ้นจากระดับ 1.81 ล้านบาร์เรล/วันในเดือนพ.ย. ขณะที่ลิเบียเริ่มกลับมาผลิตน้ำมันจากบ่อชารารา (Sharara) เมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา หลังจากที่ระงับการผลิตเป็นเวลา 2 สัปดาห์อันเนื่องมาจากการผละงานประท้วงของคนงาน
นักลงทุนจับตาสถานการณ์ในทะเลแดงอย่างใกล้ชิด โดยล่าสุดมีรายงานว่า กองทัพสหรัฐและอังกฤษเปิดฉากโจมตีฐานที่มั่นของกลุ่มกบฏฮูตีในเยเมนรอบใหม่เมื่อวานนี้ หลังจากกลุ่มฮูตีได้ก่อเหตุโจมตีเรือบรรทุกสินค้าในทะเลแดงหลายครั้งในช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่านมา โดยกล่าวอ้างว่าเป็นการกระทำเพื่อตอบโต้อิสราเอลที่ใช้ปฏิบัติการทางทหารในฉนวนกาซา
นอกจากนี้ นักลงทุนยังจับตารายงานสต็อกน้ำมันอย่างเป็นทางการจากสำนักงานสารสนเทศด้านพลังงานของรัฐบาลสหรัฐ (EIA) ในวันนี้