สัญญาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส (WTI) ตลาดนิวยอร์กปิดบวกในวันจันทร์ (5 ก.พ.) โดยได้แรงหนุนจากการคาดการณ์ที่ว่า สถานการณ์ตึงเครียดในตะวันออกกลาง รวมทั้งสงครามระหว่างรัสเซียและยูเครนที่ยังไม่มีแนวโน้มยุติลงนั้น อาจจะส่งผลกระทบต่ออุปทานน้ำมันในตลาดโลก
ทั้งนี้ สัญญาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือนมี.ค. เพิ่มขึ้น 50 เซนต์ หรือ 0.7% ปิดที่ 72.78 ดอลลาร์/บาร์เรล
ส่วนสัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ (BRENT) ส่งมอบเดือนเม.ย. เพิ่มขึ้น 66 เซนต์ หรือ 0.9% ปิดที่ 78.22 ดอลลาร์/บาร์เรล
ราคาน้ำมันดีดตัวขึ้น ท่ามกลางสถานการณ์ตึงเครียดในตะวันออกกลาง โดยสหรัฐและอังกฤษใช้ปฏิบัติการทางอากาศโจมตี 6 จังหวัดทางตอนเหนือของเยเมนที่อยู่ภายใต้การควบคุมของกลุ่มกบฏฮูตีเมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมา (3 ก.พ.) ขณะที่แกนนำของฮูตีประกาศว่าจะทำการตอบโต้ในไม่ช้านี้
ส่วนสถานการณ์สู้รบระหว่างรัสเซียและยูเครนนั้น กองทัพยูเครนได้ส่งโดรน 2 ลำเข้าโจมตีโรงกลั่นน้ำมันขนาดใหญ่ที่สุดของรัสเซียเมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมา (3 ก.พ.) ซึ่งเป็นการโจมตีครั้งล่าสุดหลังจากที่ก่อนหน้านี้กองทัพยูเครนได้ส่งโดรนโจมตีโรงงานน้ำมันของบริษัทโนวาเทก (Novatek) ซึ่งเป็นบริษัทพลังงานของรัสเซีย ส่งผลให้ทางบริษัทตัดสินใจระงับการดำเนินงานที่สถานีส่งออกเชื้อเพลิงอุสต์-ลูกา (Ust-Luga) ในทะเลบอลติก
อย่างไรก็ดี ราคาน้ำมันลดช่วงบวก หลังจากนายเจอโรม พาวเวล ประธานธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ให้สัมภาษณ์ในรายการ "60 Minutes" ของสถานีโทรทัศน์ซีบีเอสว่า เฟดจะดำเนินการอย่างระมัดระวังในการปรับลดอัตราดอกเบี้ยในปีนี้ และมีแนวโน้มที่จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยล่าช้ากว่าที่ตลาดคาดการณ์ไว้
นอกจากนี้ ดัชนีภาคบริการที่แข็งแกร่งเกินคาดของสหรัฐทำให้ตลาดกังวลว่าเฟดอาจจะตรึงอัตราดอกเบี้ยในระดับสูงยาวนานกว่าที่คาดไว้ โดยสถาบันจัดการด้านอุปทานของสหรัฐ (ISM) เปิดเผยว่า ดัชนีภาคบริการของสหรัฐปรับตัวขึ้นสู่ระดับ 53.4 ในเดือนม.ค. จากระดับ 50.5 ในเดือนธ.ค. และสูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 52.0
ทั้งนี้ ดัชนีอยู่สูงกว่าระดับ 50 ซึ่งบ่งชี้ว่าภาคบริการของสหรัฐมีการขยายตัว และเป็นการขยายตัวติดต่อกันเป็นเดือนที่ 13