สัญญาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส (WTI) ตลาดนิวยอร์กปิดบวกติดต่อกันเป็นวันที่ 2 ในวันพฤหัสบดี (22 ก.พ.) โดยตลาดยังคงได้แรงหนุนจากการคาดการณ์ที่ว่าสถานการณ์ตึงเครียดในตะวันออกกลางอาจจะส่งผลกระทบต่ออุปทานน้ำมัน อย่างไรก็ดี การพุ่งขึ้นอย่างมากของสต็อกน้ำมันดิบสหรัฐส่งผลให้ราคาน้ำมันลดช่วงบวก
ทั้งนี้ สัญญาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือนเม.ย. เพิ่มขึ้น 70 เซนต์ หรือ 0.9% ปิดที่ 78.61 ดอลลาร์/บาร์เรล
ส่วนสัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ (BRENT) ส่งมอบเดือนเม.ย. เพิ่มขึ้น 64 เซนต์ หรือ 0.77% ปิดที่ 83.67 ดอลลาร์/บาร์เรล
สถานการณ์ตึงเครียดในตะวันออกกลางมีแนวโน้มทวีความรุนแรงมากขึ้นและอาจส่งผลกระทบต่ออุปทานน้ำมันในตลาดโลก โดยเฉพาะอย่างยิ่งสถานการณ์ในทะเลแดง ล่าสุดกลุ่มฮูตีประกาศยกระดับการโจมตีเรือสินค้าในทะเลแดงด้วยการใช้อาวุธใต้น้ำ โดยจะโจมตีเรือสินค้าที่เกี่ยวข้องกับอิสราเอล สหรัฐ และอังกฤษ เพื่อแสดงความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันกับชาวปาเลสไตน์
การประชุมสหประชาชาติว่าด้วยการค้าและการพัฒนา หรือ อังค์ถัด (UNCTAD) รายงานว่า ปริมาณการเดินเรือขนส่งสินค้ารายสัปดาห์ผ่านทางคลองสุเอซลดลงถึง 67% เมื่อเทียบกับระดับที่เคยมีการสัญจรหนาแน่นที่สุด เนื่องจากผลกระทบจากการโจมตีของกลุ่มฮูตีในทะเลแดง ซึ่งการโจมตีดังกล่าวส่งผลให้เรือบรรทุกสินค้าพากันเลี่ยงการใช้เส้นทางทะเลแดงด้วยการอ้อมแหลมกู้ดโฮปของแอฟริกา ทำให้อียิปต์สูญเสียรายได้จากการเรียกเก็บค่าผ่านทางในคลองสุเอซมากถึง 42% รวมทั้งกระทบต่อประเทศจิบูตี เคนยาและแทนซาเนีย ซึ่งมีรายได้จากการขนส่งสินค้าในคลองดังกล่าว
นอกจากนี้มีรายงานว่า อิสราเอลใช้ปฏิบัติการทางอากาศโจมตีเมืองราฟาห์ ทางตอนใต้ของฉนวนกาซาอย่างต่อเนื่อง และประกาศว่าจะโจมตีภาคพื้นดินในเมืองราฟาห์ แม้จะมีการต่อต้านจากนานาประเทศ รวมถึงการคัดค้านจากสหรัฐซึ่งเป็นพันธมิตรสำคัญของอิสราเอล เนื่องจากกังวลเกี่ยวกับชีวิตของพลเรือนผู้บริสุทธิ์
อย่างไรก็ดี ราคาน้ำมันดิบลดช่วงบวก หลังจากสำนักงานสารสนเทศด้านการพลังงานของรัฐบาลสหรัฐ (EIA) เปิดเผยว่า สต็อกน้ำมันดิบสหรัฐพุ่งขึ้น 3.5 ล้านบาร์เรลในสัปดาห์ที่แล้ว ขณะที่สต็อกน้ำมันดิบที่เมืองคูชิง รัฐโอกลาโฮมา ซึ่งเป็นจุดส่งมอบสัญญาน้ำมันดิบล่วงหน้าของสหรัฐ เพิ่มขึ้น 741,000 บาร์เรล