สัญญาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส (WTI) ตลาดนิวยอร์กปิดลบในวันพฤหัสบดี (29 ก.พ.) หลังสหรัฐเปิดเผยข้อมูลเงินเฟ้อที่ชะลอตัวลง ขณะที่สต็อกน้ำมันดิบของสหรัฐเพิ่มขึ้นเป็นสัปดาห์ที่ 5 ติดต่อกัน
สัญญาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือนเม.ย. ลดลง 28 เซนต์ หรือ 0.36% ปิดที่ 78.26 ดอลลาร์/บาร์เรล
สัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ (BRENT) ส่งมอบเดือนเม.ย. ขยับลง 6 เซนต์ หรือ 0.07% ปิดที่ 83.62 ดอลลาร์/บาร์เรล
กระทรวงพาณิชย์สหรัฐเปิดเผยเมื่อคืนนี้ (29 ก.พ.) ว่า ดัชนีราคาการใช้จ่ายเพื่อการบริโภคส่วนบุคคลทั่วไป (Headline PCE) ซึ่งรวมหมวดอาหารและพลังงาน ปรับตัวขึ้น 2.4% ในเดือนม.ค. เมื่อเทียบรายปี ซึ่งสอดคล้องกับตัวเลขคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ จากระดับ 2.6% ในเดือนธ.ค.
เมื่อเทียบรายเดือน ดัชนี PCE ทั่วไป ปรับตัวขึ้น 0.3% ในเดือนม.ค. ซึ่งสอดคล้องกับตัวเลขคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ จากระดับ 0.1% ในเดือนธ.ค.
ส่วนดัชนี PCE พื้นฐาน (Core PCE) ซึ่งไม่นับรวมหมวดอาหารและพลังงาน และเป็นมาตรวัดเงินเฟ้อที่ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ให้ความสำคัญ ปรับตัวขึ้น 2.8% ในเดือนม.ค. เมื่อเทียบรายปี ซึ่งสอดคล้องกับตัวเลขคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ จากระดับ 2.9% ในเดือนธ.ค.
เมื่อเทียบรายเดือน ดัชนี PCE พื้นฐานปรับตัวขึ้น 0.4% ในเดือนม.ค. ซึ่งสอดคล้องกับตัวเลขคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ จากระดับ 0.1% ในเดือนธ.ค.
ทั้งนี้ ดัชนี PCE ถือเป็นมาตรวัดเงินเฟ้อที่สามารถตรวจจับการเปลี่ยนแปลงในพฤติกรรมของผู้บริโภค และครอบคลุมราคาสินค้าและบริการในวงกว้างมากกว่าดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI)
ขณะเดียวกัน ราคาน้ำมัน WTI ยังได้รับแรงกดดันจากการที่สหรัฐเปิดเผยสต็อกน้ำมันดิบเพิ่มขึ้นมากกว่าคาดในสัปดาห์ที่แล้ว ซึ่งบ่งชี้ถึงอุปสงค์ที่อ่อนแอในตลาด
สำนักงานสารสนเทศด้านการพลังงานของรัฐบาลสหรัฐ (EIA) เปิดเผยว่า สต็อกน้ำมันดิบสหรัฐเพิ่มขึ้น 4.2 ล้านบาร์เรลในสัปดาห์ที่แล้ว ขณะที่นักวิเคราะห์คาดว่าจะเพิ่มขึ้นเพียง 3.1 ล้านบาร์เรล และเพิ่มขึ้นเป็นสัปดาห์ที่ 5 ติดต่อกันแล้ว