สัญญาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส (WTI) ตลาดนิวยอร์กปิดพุ่งขึ้นกว่า 2% ในวันจันทร์ (18 มี.ค.) ขานรับรายงานข่าวที่ว่าอิรักและซาอุดีอาระเบียปรับลดการส่งออกน้ำมันดิบ นอกจากนี้ ราคาน้ำมันยังได้แรงหนุนจากสัญญาณที่บ่งชี้ถึงการฟื้นตัวของอุปสงค์และเศรษฐกิจในประเทศจีนและสหรัฐ
ทั้งนี้ สัญญาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือนเม.ย. เพิ่มขึ้น 1.68 ดอลลาร์ หรือ 2.1% ปิดที่ 82.72 ดอลลาร์/บาร์เรล
สัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ (BRENT) ส่งมอบเดือนพ.ค. เพิ่มขึ้น 1.55 ดอลลาร์ หรือ 1.8% ปิดที่ 86.89 ดอลลาร์/บาร์เรล
ราคาน้ำมัน WTI ปิดที่ระดับสูงสุดนับตั้งแต่วันที่ 27 ต.ค. 2566 และราคาน้ำมันเบรนท์ปิดที่ระดับสูงสุดนับตั้งแต่วันที่ 31 ต.ค. 2566 หลังจากอิรัก ซึ่งเป็นผู้ผลิตน้ำมันดิบรายใหญ่อันดับ 2 ในกลุ่มประเทศผู้ส่งออกน้ำมัน (โอเปก) ประกาศว่าจะปรับลดการส่งออกน้ำมันดิบลงสู่ระดับ 3.3 ล้านบาร์เรล/วันในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้านี้ เพื่อชดเชยการผลิตเกินโควต้าของกลุ่มโอเปกและชาติพันธมิตรหรือโอเปกพลัสตั้งแต่เมื่อเดือนม.ค.
ในช่วงเดือนม.ค.-ก.พ. อิรักได้ผลิตน้ำมันมากกว่าโควต้าที่กำหนดไว้ในเดือนม.ค.ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่หลายประเทศสมาชิกของกลุ่มโอเปกพลัสได้ตกลงที่จะปรับลดกำลังการผลิตเพื่อพยุงตลาด
ทางด้านซาอุดีอาระเบีย ซึ่งเป็นผู้ผลิตน้ำมันรายใหญ่สุดของกลุ่มโอเปกได้ปรับลดการส่งออกน้ำมันในเดือนม.ค.ลงสู่ระดับ 6.297 ล้านบาร์เรล/วัน จากระดับ 6.308 ล้านบาร์เรล/วันในเดือนธ.ค. โดยเป็นการปรับลดการส่งออกน้ำมันติดต่อกันเดือนที่ 2
ราคาน้ำมันยังได้แรงหนุนจากการคาดการณ์ที่ว่าอุปทานน้ำมันในตลาดจะได้รับผลกระทบจากการที่ยูเครนยังคงเดินหน้าโจมตีโครงสร้างพื้นฐานด้านพลังงานในรัสเซีย
นอกจากนี้ ราคาน้ำมันยังได้รับปัจจัยบวกจากข้อมูลเศรษฐกิจที่แข็งแกร่งเกินคาดของจีน โดยสำนักงานสถิติแห่งชาติจีน (NBS) รายงานเมื่อวานนี้ว่า ยอดค้าปลีกในช่วงเดือนม.ค.-ก.พ. 2567 ปรับตัวขึ้น 5.5% ซึ่งดีกว่าที่นักวิเคราะห์คาดว่าจะเพิ่มขึ้น 5.2% ขณะที่การผลิตภาคอุตสาหกรรมในช่วงเดือนม.ค.-ก.พ. ปรับตัวขึ้น 7% ซึ่งแข็งแกร่งกว่าที่นักวิเคราะห์คาดว่าจะเพิ่มขึ้น 5%