สัญญาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส (WTI) ตลาดนิวยอร์กปิดลบในวันพฤหัสบดี (20 มี.ค.) โดยตลาดถูกกดดันจากความกังวลเกี่ยวกับแนวโน้มอุปสงค์น้ำมัน ขณะที่นักลงทุนซึมซับผลการประชุมของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) หลังจากที่เฟดมีมติคงอัตราดอกเบี้ยตามคาด
ทั้งนี้ สัญญาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือนเม.ย. ลดลง 1.79 ดอลลาร์ หรือ 2.14% ปิดที่ 81.68 ดอลลาร์/บาร์เรล
สัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ (BRENT) ส่งมอบเดือนพ.ค. ลดลง 1.43 ดอลลาร์ หรือ 1.64% ปิดที่ 85.95 ดอลลาร์/บาร์เรล
ราคาน้ำมัน WTI ปิดตลาดอ่อนแรงลงหลังจากที่พุ่งขึ้นติดต่อกัน 2 วันทำการ เนื่องจากนักลงทุนยังคงวิตกกังวลเกี่ยวกับแนวโน้มอุปสงค์น้ำมัน
สำนักงานสารสนเทศด้านการพลังงานของรัฐบาลสหรัฐ (EIA) เปิดเผยว่า สต็อกน้ำมันดิบสหรัฐลดลง 1.9 ล้านบาร์เรลในสัปดาห์ที่แล้ว ซึ่งมากกว่าที่นักวิเคราะห์คาดว่าจะลดลงเพียง 900,000 บาร์เรล
แมตต์ สมิธ นักวิเคราะห์ด้านพลังงานจากบริษัทเคปเลอร์ (Kpler) กล่าวว่า สาเหตุที่ทำให้สต็อกน้ำมันดิบปรับตัวลดลงนั้น มาจากการที่สหรัฐส่งออกน้ำมันดิบเพิ่มขึ้น ในขณะที่โรงกลั่นน้ำมันยังคงเพิ่มปริมาณการกลั่น
รายงานของ EIA ยังระบุด้วยว่า สต็อกน้ำมันเบนซินลดลง 3.3 ล้านบาร์เรลในสัปดาห์ที่แล้ว ขณะที่นักวิเคราะห์คาดว่าลดลง 1.3 ล้านบาร์เรล ส่วนสต็อกน้ำมันกลั่น ซึ่งรวมถึงฮีตติ้งออยล์และน้ำมันดีเซล เพิ่มขึ้น 624,000 บาร์เรล ขณะที่นักวิเคราะห์คาดว่าลดลง 87,000 บาร์เรล
เฟดมีมติคงอัตราดอกเบี้ยระยะสั้นที่ระดับ 5.25-5.50% ในการประชุมเมื่อวานนี้ตามคาด พร้อมกับเปิดเผยการคาดการณ์อัตราดอกเบี้ยนโยบาย (Dot Plot) ซึ่งบ่งชี้ว่า เจ้าหน้าที่เฟดยังคงส่งสัญญาณปรับลดอัตราดอกเบี้ยจำนวน 3 ครั้งในปี 2567 โดยปรับลดครั้งละ 0.25% รวม 0.75% ซึ่งไม่เปลี่ยนแปลงจากเดิมที่ส่งสัญญาณปรับลดอัตราดอกเบี้ย 3 ครั้งในการประชุมเดือนธ.ค. 2566
แอนดรูว์ ลิโพว์ นักวิเคราะห์จาก Lipow Oil Associates แสดงความเห็นว่า การตัดสินใจของเฟดเป็นไปตามที่ตลาดคาดการณ์ไว้ และมีผลกระทบต่อตลาดน้ำมันแค่ในวงจำกัด
นักลงทุนยังคงประเมินสถานการณ์อุปทานน้ำมัน หลังจากกองกำลังทหารของยูเครนเดินหน้าโจมตีโรงกลั่นน้ำมันของรัสเซีย โดยเฉพาะในเดือนนี้ที่โรงกลั่นน้ำมันอย่างน้อย 7 แห่งถูกโจมตีด้วยโครนของยูเครน ส่งผลให้การกลั่นน้ำมันในรัสเซียลดลงในปริมาณ 370,500 บาร์เรล/วัน หรือคิดเป็นสัดส่วน 7% ของกำลังการกลั่นในประเทศ
นักวิเคราะห์จากบริษัท StoneX คาดการณ์ว่า การโจมตีโรงกลั่นน้ำมันในรัสเซียอาจจะส่งผลให้อุปทานน้ำมันในตลาดโลกลดลงราว 350,000 บาร์เรล/วัน และจะเป็นปัจจัยหนุนราคาน้ำมันดิบสหรัฐพุ่งขึ้น 3 ดอลลาร์/บาร์เรล