สัญญาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส (WTI) ตลาดนิวยอร์กปิดบวกในวันจันทร์ (25 มี.ค.) หลังจากมีรายงานว่ารัฐบาลรัสเซียมีคำสั่งควบคุมการผลิตน้ำมัน นอกจากนี้ ราคาน้ำมันยังได้แรงหนุนจากข่าวการโจมตีโครงสร้างพื้นฐานด้านพลังงานในรัสเซียและยูเครน
ทั้งนี้ สัญญาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือนพ.ค. เพิ่มขึ้น 1.32 ดอลลาร์ หรือ 1.64% ปิดที่ 81.95 ดอลลาร์/บาร์เรล
ส่วนสัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ (BRENT) ส่งมอบเดือนพ.ค. เพิ่มขึ้น 1.32 ดอลลาร์ หรือ 1.55% ปิดที่ 86.75 ดอลลาร์/บาร์เรล
สำนักข่าวรอยเตอร์รายงานโดยอ้างแหล่งข่าวว่า รัฐบาลรัสเซียได้สั่งให้บริษัทต่าง ๆ ปรับลดการผลิตน้ำมันในไตรมาส 2 ปีนี้ เพื่อให้รัสเซียสามารถบรรลุเป้าหมายการผลิตที่ระดับ 9 ล้านบาร์เรล/วันภายในสิ้นเดือนมิ.ย. ตามคำมั่นสัญญาที่รัสเซียให้ไว้กับกลุ่มประเทศผู้ส่งออกน้ำมัน และชาติพันธมิตร หรือโอเปกพลัส
ตลาดยังได้แรงหนุนจากข่าวรัสเซียถล่มขีปนาวุธใส่โครงสร้างพื้นฐานด้านพลังงานในแคว้นลวีฟทางตะวันตกของยูเครนในช่วงเช้าวันอาทิตย์ที่ผ่านมา (24 มี.ค.) หลังจากที่ยูเครนใช้โดรนโจมตีโรงกลั่นน้ำมันของรัสเซียหลายครั้งในเดือนนี้ ส่งผลให้การกลั่นน้ำมันในรัสเซียลดลงราว 7% ของกำลังการกลั่นในประเทศ
ทั้งนี้ นักลงทุนคาดการณ์ว่าการที่รัสเซียและยูเครนต่างก็โจมตีโครงสร้างพื้นฐานด้านพลังงานของกันและกันนั้นอาจจะส่งผลกระทบต่ออุปทานน้ำมันในตลาด
สำหรับสถานการณ์ล่าสุดในฉนวนกาซานั้น คณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ (UNSC) ผ่านมติ 2728 ซึ่งเรียกร้องให้มีการหยุดยิงในฉนวนกาซาโดยทันทีในช่วงเดือนรอมฎอม นอกจากนี้ มติดังกล่าวยังเรียกร้องให้มีการปล่อยตัวประกันอย่างไม่มีเงื่อนไข และเปิดทางสำหรับความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมเข้าสู่ฉนวนกาซา
ทั้งนี้ มติ 2728 นับเป็นมติแรกของ UNSC ที่มีการเรียกร้องให้มีการหยุดยิงในฉนวนกาซา หลังเกิดสงครามระหว่างอิสราเอลและกลุ่มฮามาสในวันที่ 7 ต.ค. 2566