สัญญาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส (WTI) ตลาดนิวยอร์กปิดลบในวันอังคาร (26 มี.ค.) ขณะที่นักลงทุนจับตาสงครามระหว่างรัสเซียและยูเครน รวมทั้งสถานการณ์ตึงเครียดในตะวันออกกลาง เพื่อประเมินว่าจะส่งผลกระทบอุปทานน้ำมันในตลาดโลกมากเพียงใด
ทั้งนี้ สัญญาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือนพ.ค. ลดลง 33 เซนต์ หรือ 0.4% ปิดที่ 81.62 ดอลลาร์/บาร์เรล
ส่วนสัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ (BRENT) ส่งมอบเดือนพ.ค. ลดลง 50 เซนต์ หรือ 0.58% ปิดที่ 86.25 ดอลลาร์/บาร์เรล
ในช่วงแรกนั้น ราคาน้ำมัน WTI ดีดตัวขึ้นเหนือระดับ 82 ดอลลาร์/บาร์เรล โดยได้แรงหนุนจากรายงานข่าวที่ว่า รัฐบาลรัสเซียสั่งให้บริษัทต่าง ๆ ปรับลดการผลิตน้ำมันในไตรมาส 2 เพื่อให้รัสเซียบรรลุเป้าหมายการผลิตที่ระดับ 9 ล้านบาร์เรล/วันภายในสิ้นเดือนมิ.ย. ตามคำมั่นสัญญาที่รัสเซียให้ไว้กับกลุ่มประเทศผู้ส่งออกน้ำมัน และชาติพันธมิตร หรือโอเปกพลัส
แต่ราคาน้ำมันปิดตลาดอ่อนแรงลง เนื่องจากนักลงทุนชะลอการซื้อ และประเมินสถานการณ์ในตะวันออกกลาง รวมทั้งสงครามระหว่างรัสเซียและยูเครน โดยเฉพาะอย่างยิ่งการที่รัสเซียและยูเครนต่างก็โจมตีโครงสร้างพื้นฐานด้านพลังงานของกันและกัน
โกลด์แมน แซคส์ประมาณการว่า การที่ยูเครนใช้โดรนโจมตีโรงกลั่นน้ำมันหลายแห่งของรัสเซียนั้น ส่งผลให้กำลังการกลั่นน้ำมันในรัสเซียลดลงราว 900,000 บาร์เรล/วันในขณะนี้ และคาดว่าการที่โรงกลั่นบางแห่งจะสามารถกลับมาดำเนินการได้อีกนั้นอาจต้องใช้เวลานานหลายสัปดาห์
ส่วนสถานการณ์ตึงเครียดในตะวันออกกลางนั้น กลุ่มกบฎฮูตีได้ออกมายืนยันเมื่อวานนี้ว่า นักรบของฮูตีได้ทำการโจมตีเรือบรรทุกสินค้าในอ่าวเอเดนและทะเลแดงถึง 7 ครั้งในช่วง 72 ชั่วโมงที่ผ่านมา
สถาบันปิโตรเลียมอเมริกา (API) เปิดเผยว่า สต็อกน้ำมันดิบของสหรัฐเพิ่มขึ้น 9.3 ล้านบาร์เรลในสัปดาห์ที่สิ้นสุดวันที่ 22 มี.ค. ขณะที่สต็อกน้ำมันเบนซินลดลง 4.4 ล้านบาร์เรล
นักลงทุนรอดูการเปิดเผยสต็อกน้ำมันดิบอย่างเป็นทางการจากสำนักงานสารสนเทศด้านการพลังงานของรัฐบาลสหรัฐ (EIA) ในวันนี้