สัญญาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส (WTI) ตลาดนิวยอร์กปิดลบในวันพุธ (27 มี.ค.) หลังสหรัฐเปิดเผยสต็อกน้ำมันดิบและน้ำมันเบนซินพุ่งขึ้นสวนทางกับการคาดการณ์ ซึ่งทำให้นักลงทุนวิตกกังวลเกี่ยวกับอุปสงค์น้ำมันในสหรัฐ นอกจากนี้ การแข็งค่าของดอลลาร์ยังเป็นปัจจัยกดดันตลาดน้ำมัน
ทั้งนี้ สัญญาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือนพ.ค. ลดลง 27 เซนต์ หรือ 0.33% ปิดที่ 81.35 ดอลลาร์/บาร์เรล
ส่วนสัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ (BRENT) ส่งมอบเดือนพ.ค. ลดลง 16 เซนต์ หรือ 0.19% ปิดที่ 86.09 ดอลลาร์/บาร์เรล
ราคาน้ำมันปรับตัวลง หลังจากสำนักงานสารสนเทศด้านการพลังงานของรัฐบาลสหรัฐ (EIA) เปิดเผยว่า สต็อกน้ำมันดิบสหรัฐพุ่งขึ้น 3.2 ล้านบาร์เรลในสัปดาห์ที่สิ้นสุดวันที่ 22 มี.ค. สวนทางกับที่นักวิเคราะห์คาดว่าจะลดลง 1.3 ล้านบาร์เรล และสต็อกน้ำมันเบนซินเพิ่มขึ้น 1.3 ล้านบาร์เรล สวนทางกับการคาดการณ์ว่าจะลดลง 1.6 ล้านบาร์เรล
รายงานของ EIA ยังระบุด้วยว่า ความต้องการน้ำมันเบนซินปรับตัวลงสู่ระดับ 8.7 ล้านบาร์เรล/วันในสัปดาห์ที่สิ้นสุดวันที่ 22 มี.ค. จากระดับ 8.8 ล้านบาร์เรล/วันในสัปดาห์ก่อนหน้านั้น ซึ่งเป็นการปรับตัวลงติดต่อกัน 2 สัปดาห์
นอกจากนี้ การแข็งค่าของดอลลาร์ยังส่งผลให้สัญญาน้ำมันดิบซึ่งกำหนดราคาเป็นดอลลาร์นั้น มีราคาที่ไม่น่าดึงดูดใจสำหรับนักลงทุนที่ถือครองสกุลเงินอื่น ๆ โดยดัชนีดอลลาร์ ซึ่งเป็นดัชนีวัดความเคลื่อนไหวของดอลลาร์เมื่อเทียบกับสกุลเงินหลัก 6 สกุลในตะกร้าเงิน ดีดตัวขึ้น 0.05% แตะระดับ 104.348 เมื่อคืนนี้
กลุ่มประเทศผู้ส่งออกน้ำมัน (โอเปก) และชาติพันธมิตร หรือโอเปกพลัส จะประชุมร่วมกันในสัปดาห์หน้าเพื่อทบทวนภาวะตลาดน้ำมันและประเมินการดำเนินการปรับลดกำลังการผลิตของบรรดาชาติพันธมิตร ขณะที่แหล่งข่าวเปิดเผยกับสำนักข่าวรอยเตอร์ว่า โอเปกพลัสยังไม่มีแนวโน้มที่จะเปลี่ยนแปลงนโยบายการผลิตน้ำมันก่อนที่จะถึงวันประชุมรัฐมนตรีกลุ่มพลังงานของโอเปกพลัสในเดือนมิ.ย.