สัญญาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส (WTI) ตลาดนิวยอร์กปิดร่วงลงกว่า 3% ในวันพุธ (17 เม.ย.) โดยตลาดถูกกดดันจากรายงานสต็อกน้ำมันดิบที่สูงเกินคาดของสหรัฐ และข้อมูลเศรษฐิจที่อ่อนแอของจีน นอกจากนี้ ราคาน้ำมันยังปรับตัวลงหลังจากมีรายงานว่า สหรัฐมีความคืบหน้าในการผลักดันร่างกฎหมายช่วยเหลือยูเครนและอิสราเอล
ทั้งนี้ สัญญาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือนพ.ค. ลดลง 2.67 ดอลลาร์ หรือ 3.13% ปิดที่ 82.69 ดอลลาร์/บาร์เรล
สัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ (BRENT) ส่งมอบเดือนมิ.ย. ลดลง 2.73 ดอลลาร์ หรือ 3.03% ปิดที่ 87.29 ดอลลาร์/บาร์เรล
ราคาน้ำมันร่วงลง หลังจากสำนักงานสารสนเทศด้านการพลังงานของรัฐบาลสหรัฐ (EIA) เปิดเผยว่า สต็อกน้ำมันดิบสหรัฐเพิ่มขึ้น 2.7 ล้านบาร์เรลในสัปดาห์ที่สิ้นสุดวันที่ 12 เม.ย. ซึ่งมากกว่าที่นักวิเคราะห์คาดว่าจะเพิ่มขึ้นเพียง 1.6 ล้านบาร์เรล
ราคาน้ำมันยังได้รับปัจจัยลบจากข้อมูลเศรษฐกิจที่อ่อนแอของจีนซึ่งเป็นประเทศที่นำเข้าน้ำมันรายใหญ่ของโลก โดยสำนักงานสถิติแห่งชาติจีน (NBS) รายงานว่า การผลิตภาคอุตสาหกรรมเดือนมี.ค.ของจีนเพิ่มขึ้นเพียง 4.5% ซึ่งต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดว่าจะเพิ่มขึ้น 6% ขณะที่ยอดค้าปลีกเดือนมี.ค.ปรับตัวขึ้น 3.1% ซึ่งน้อยกว่าที่นักวิเคราะห์คาดว่าจะเพิ่มขึ้น 4.6%
นอกจากนี้ ราคาน้ำมันยังปรับตัวลงหลังจากนายไมค์ จอห์นสัน ประธานสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐกล่าวว่า สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจะยื่นร่างกฎหมาย 4 ฉบับเกี่ยวกับการให้ความช่วยเหลือยูเครน อิสราเอล และภูมิภาคอินโด-แปซิฟิกในวันนี้ โดยมีเป้าหมายที่จะรับมือกับรัสเซีย อิหร่าน และจีน
ส่วนสถานการณ์คืบหน้าระหว่างอิสราเอลและอิหร่านนั้น ล่าสุดหนังสือพิมพ์วอลล์สตรีท เจอร์นัลรายงานว่า อิสราเอลอาจเลือกที่จะโจมตีเป้าหมายที่เป็นอาคารของหน่วยงานต่าง ๆ ของอิหร่านในซีเรีย เพื่อตอบโต้ต่อการที่อิหร่านใช้ขีปนาวุธและโดรนโจมตีอิสราเอลก่อนหน้านี้ โดยอิสราเอลจะหลีกเลี่ยงการโจมตีบนดินแดนของอิหร่านโดยตรงเพื่อไม่ให้ลุกลามกลายเป็นความขัดแย้งในภูมิภาค
นอกจากนี้ คาดว่าการโจมตีตอบโต้ของอิสราเอลจะเป็นไปอย่างจำกัด และอิสราเอลอาจแจ้งเตือนพันธมิตรที่เป็นชาติอาหรับล่วงหน้าก่อนการโจมตีจะเกิดขึ้น