สัญญาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส (WTI) ตลาดนิวยอร์กปิดบวกในวันพฤหัสบดี (25 เม.ย.) โดยได้แรงหนุนจากการที่นางเจเน็ต เยลเลน รัฐมนตรีคลังสหรัฐแสดงความเห็นว่าเศรษฐกิจสหรัฐยังคงแข็งแกร่ง นอกจากนี้ ราคาน้ำมันยังปรับตัวขึ้นท่ามกลางความวิตกกังวลว่าอุปทานน้ำมันในตะวันออกกลางอาจจะได้รับผลกระทบจากการที่อิสราเอลโจมตีเมืองราฟาห์ในฉนวนกาซา
ทั้งนี้ สัญญาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือนมิ.ย. เพิ่มขึ้น 76 เซนต์ หรือ 0.92% ปิดที่ 83.57 ดอลลาร์/บาร์เรล
และสัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ (BRENT) ส่งมอบเดือนมิ.ย. เพิ่มขึ้น 99 เซนต์ หรือ 1.12% ปิดที่ 89.01 ดอลลาร์/บาร์เรล
ในช่วงแรกนั้น ราคาน้ำมันปรับตัวลงหลังจากกระทรวงพาณิชย์สหรัฐเปิดเผยว่า ตัวเลขผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) ขยายตัวเพียง 1.6% ในไตรมาส 1/2567 ซึ่งเป็นการขยายตัวต่ำสุดในรอบเกือบ 2 ปี โดยตัวเลข GDP ที่มีการเปิดเผยล่าสุดนี้เป็นการประมาณการครั้งที่ 1
นอกจากนี้ กระทรวงพาณิชย์สหรัฐเปิดเผยว่า ดัชนีราคาการใช้จ่ายเพื่อการบริโภคส่วนบุคคล (PCE) ในไตรมาส 1/2567 พุ่งขึ้น 3.4% ซึ่งสูงกว่าในไตรมาส 4/2566 ที่ปรับตัวขึ้น 1.8% ส่วนดัชนี PCE พื้นฐาน (Core PCE) ซึ่งไม่นับรวมหมวดอาหารและพลังงาน พุ่งขึ้น 3.7% สูงกว่าในไตรมาส 4/2566 ที่เพิ่มขึ้น 2.0%
แต่ราคาน้ำมันดีดตัวขึ้นในเวลาต่อมา หลังจากนางเยลเลนเปิดเผยกับสำนักข่าวรอยเตอร์ว่า เศรษฐกิจสหรัฐยังคงทำผลงานได้ดี พร้อมกับคาดการณ์ว่าเศรษฐกิจอาจจะขยายตัวแข็งแกร่งกว่าที่กระทรวงพาณิชย์สหรัฐรายงานล่าสุด และคาดว่าทางกระทรวงอาจจะปรับเพิ่มประมาณการตัวเลข GDP หลังได้รับข้อมูลเพิ่มเติม และคาดว่าเงินเฟ้อก็อาจจะชะลอตัวลงสู่ระดับปกติ
ฟิล ไฟนน์ นักวิเคราะห์จากบริษัท Price Futures Group กล่าวว่า นักลงทุนหันมาจับตาสถานการณ์ด้านอุปทานน้ำมันและปัจจัยต่าง ๆ ที่จะก่อให้เกิดความเสี่ยงด้านภูมิรัฐศาสตร์ หลังจากกองทัพอิสราเอลใช้ปฏิบัติการทางอากาศโจมตีเมืองราฟาห์เมื่อคืนนี้