สัญญาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส (WTI) ตลาดนิวยอร์กปิดลบในวันศุกร์ (10 พ.ค.) หลังจากเจ้าหน้าที่ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) บ่งชี้ว่า อัตราดอกเบี้ยมีแนวโน้มที่จะยังคงอยู่ที่ระดับสูงเป็นเวลานาน ซึ่งอาจกระทบความต้องการใช้น้ำมันในสหรัฐซึ่งเป็นประเทศผู้ใช้น้ำมันรายใหญ่ที่สุดของโลก
ทั้งนี้ สัญญาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือนมิ.ย. ลดลง 1 ดอลลาร์ หรือ 1.3% ปิดที่ 78.26 ดอลลาร์/บาร์เรล แต่เพิ่มขึ้น 0.2% ในรอบสัปดาห์นี้
ส่วนสัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ (BRENT) ส่งมอบเดือนก.ค. ลดลง 1.09 ดอลลาร์ หรือ 1.3% ปิดที่ 82.79 ดอลลาร์/บาร์เรล และลดลง 0.2% ในรอบสัปดาห์นี้
นางลอรี โลแกน ประธานเฟดสาขาดัลลัสกล่าวในวันศุกร์ว่า ยังไม่ชัดเจนว่านโยบายการเงินนั้นเข้มงวดเพียงพอหรือไม่ที่จะลดอัตราเงินเฟ้อลงสู่เป้าหมายของเฟดที่ระดับ 2%
อัตราดอกเบี้ยที่สูงขึ้นมักจะชะลอกิจกรรมทางเศรษฐกิจ และทำให้ความต้องการใช้น้ำมันลดลง
ด้านนายราฟาเอล บอสติก ประธานเฟดสาขาแอตแลนตาเปิดเผยกับสำนักข่าวรอยเตอร์ว่า เขาคิดว่าอัตราเงินเฟ้อมีแนวโน้มที่จะชะลอตัวลงภายใต้นโยบายการเงินในปัจจุบัน ซึ่งจะทำให้เฟดสามารถเริ่มลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายในปีนี้ แม้ว่าอาจลดลงเพียง 0.25% และจะไม่ปรับลดจนกว่าจะถึงช่วงเดือนท้าย ๆ ของปีนี้ก็ตาม
ดอลลาร์สหรัฐแข็งค่าขึ้นหลังจากเจ้าหน้าที่เฟดแสดงความเห็นดังกล่าว ส่งผลให้ราคาสินค้าโภคภัณฑ์ที่อยู่ในรูปสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐนั้นแพงขึ้นสำหรับผู้ซื้อที่ใช้สกุลเงินอื่น ๆ และอัตราดอกเบี้ยสหรัฐที่อยู่ในระดับสูงเป็นเวลานานก็อาจทำให้อุปสงค์ลดลงด้วย
จิม ริตเตอร์บุช จากริตเตอร์บุช แอนด์ แอสโซซิเอตส์กล่าวว่า ราคาน้ำมันยังถูกกดดันจากสต็อกน้ำมันเชื้อเพลิงของสหรัฐที่เพิ่มขึ้น ขณะเข้าใกล้ฤดูการขับขี่รถยนต์กันอย่างมากในช่วงฤดูร้อน