สัญญาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส (WTI) ตลาดนิวยอร์กปิดบวกในวันพุธ (15 พ.ค.) หลังสหรัฐเปิดเผยสต็อกน้ำมันดิบรายสัปดาห์ลดลงมากกว่าคาด ซึ่งบ่งชี้ถึงอุปสงค์ที่แข็งแกร่ง นอกจากนี้ ตลาดยังได้แรงหนุนจากดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) ของสหรัฐที่ออกมาต่ำกว่าคาด ซึ่งทำให้นักลงทุนมีความหวังว่าธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จะเริ่มปรับลดอัตราดอกเบี้ยในปีนี้
ทั้งนี้ สัญญาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือนมิ.ย. เพิ่มขึ้น 61 เซนต์ หรือ 0.78% ปิดที่ 78.63 ดอลลาร์/บาร์เรล
ส่วนสัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ (BRENT) ส่งมอบเดือนก.ค. เพิ่มขึ้น 37 เซนต์ หรือ 0.45% ปิดที่ 82.75 ดอลลาร์/บาร์เรล
ในช่วงแรก ราคาน้ำมันปรับตัวลง หลังจากสำนักงานพลังงานสากล (IEA) ปรับลดคาดการณ์การขยายตัวของอุปสงค์น้ำมันทั่วโลกในปี 2567 ลง 140,000 บาร์เรล/วัน สู่ระดับ 1.1 ล้านบาร์เรล/วัน ซึ่งเป็นผลมาจากอุปสงค์ที่อ่อนแอของประเทศสมาชิกองค์การเพื่อความร่วมมือและการพัฒนาทางเศรษฐกิจ (OECD)
แต่หลังจากนั้นราคาน้ำมันดีดตัวขึ้น ขานรับรายงานของสำนักงานสารสนเทศด้านการพลังงานของรัฐบาลสหรัฐ (EIA) ซึ่งระบุว่าสต็อกน้ำมันดิบรายสัปดาห์ปรับตัวลง 2.5 ล้านบาร์เรล มากกว่าที่นักวิเคราะห์คาดว่าจะลดลงเพียง 400,000 บาร์เรล
นอกจากนี้ ดัชนี CPI เดือนเม.ย.ที่ออกมาต่ำกว่าคาดยังเป็นสัญญาณบ่งชี้ว่าเงินเฟ้อของสหรัฐเริ่มเข้าสู่ช่วงขาลงในไตรมาส 2 ปีนี้ และทำให้ตลาดคาดการณ์ว่าเฟดอาจจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยในการประชุมเดือนก.ย. ซึ่งการปรับลดอัตราดอกเบี้ยจะช่วยให้ต้นทุนการกู้ยืมของภาคธุรกิจและกลุ่มผู้บริโภคปรับตัวลดลง และจะช่วยกระตุ้นการเติบโตของเศรษฐกิจและอุปสงค์น้ำมัน
ทั้งนี้ กระแสคาดการณ์ที่ว่าเฟดจะเริ่มปรับลดอัตราดอกเบี้ยในปีนี้ยังทำให้สกุลเงินดอลลาร์อ่อนค่าลงและเป็นอีกหนึ่งในปัจจัยที่ช่วยหนุนราคาน้ำมัน โดยดัชนีดอลลาร์ ซึ่งเป็นดัชนีวัดความเคลื่อนไหวของดอลลาร์เมื่อเทียบกับสกุลเงินหลัก 6 สกุลในตะกร้าเงิน ปรับตัวลง 0.64% แตะที่ระดับ 104.346 เมื่อคืนนี้