สัญญาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส (WTI) ตลาดนิวยอร์กปิดปรับตัวขึ้นในวันศุกร์ (24 พ.ค.) แต่ลดลงในรอบสัปดาห์นี้จากความกังวลที่ว่า ข้อมูลเศรษฐกิจที่แข็งแกร่งของสหรัฐจะทำให้อัตราดอกเบี้ยยังคงอยู่ที่ระดับสูงไปอีกนาน ซึ่งจะสกัดกั้นความต้องการใช้น้ำมัน
ทั้งนี้ สัญญาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือนก.ค. เพิ่มขึ้น 85 เซนต์ หรือ 1.11% ปิดที่ 77.72 ดอลลาร์/บาร์เรล
ส่วนสัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ (BRENT) ส่งมอบเดือนก.ค. เพิ่มขึ้น 76 เซนต์ หรือ 0.93% ปิดที่ 82.12 ดอลลาร์/บาร์เรล
แต่ในรอบสัปดาห์นี้ สัญญาน้ำมันดิบ WTI ปิดลบ 2.8% และสัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ลดลง 2.1% โดยลดลงเป็นสัปดาห์ที่ 4 ติดต่อกันซึ่งเป็นการลดลงยาวนานที่สุดนับตั้งแต่วันที่ 2 ม.ค.
เดนนิส คริสเลอร์ รองประธานอาวุโสของบีโอเค ไฟแนนเชียลระบุว่า อุปสงค์น้ำมันในฤดูร้อนของสหรัฐนั้นคาดว่าจะเพิ่มขึ้นโดยเริ่มจากช่วงสุดสัปดาห์นี้ ขณะที่นักลงทุนบางรายตั้งข้อสงสัยว่าสัญญาน้ำมันดิบถูกเทขายออกมามากเกินไปหรือไม่
ทิม อีแวนส์ นักวิเคราะห์ด้านพลังงานระบุว่า ความกังวลเกี่ยวกับนโยบายอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) และการเพิ่มขึ้นของสต็อกน้ำมันดิบของสหรัฐในสัปดาห์ที่แล้วได้ถ่วงบรรยากาศการซื้อขายในตลาด
รายงานการประชุมของเฟดครั้งล่าสุดที่เปิดเผยเมื่อวันพุธบ่งชี้ว่า ผู้กำหนดนโยบายตั้งคำถามว่า อัตราดอกเบี้ยอยู่ในระดับสูงเพียงพอหรือไม่ที่จะควบคุมเงินเฟ้อ โดยเจ้าหน้าที่เฟดบางคนพร้อมที่จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอีก หากเงินเฟ้อพุ่งขึ้น
อย่างไรก็ตาม นายเจอโรม พาวเวล ประธานเฟดและเจ้าหน้าที่เฟดคนอื่น ๆ ระบุว่า พวกเขาเชื่อว่า ไม่มีแนวโน้มที่เฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอีก
อัตราดอกเบี้ยที่เพิ่มขึ้นจะเพิ่มต้นทุนการกู้ยืม ซึ่งอาจชะลอกิจกรรมทางเศรษฐกิจและกระทบความต้องการใช้น้ำมัน
นักวิเคราะห์ของมอร์แกน สแตนลีย์ระบุว่า ความต้องการน้ำมันยังคงแข็งแกร่งเมื่อพิจารณาจากภาพรวม และคาดว่าการใช้น้ำมันโดยรวมจะเพิ่มขึ้นประมาณ 1.5 ล้านบาร์เรลต่อวันในปีนี้
ตลาดรอดูการประชุมออนไลน์ของกลุ่มโอเปกพลัสในวันที่ 2 มิ.ย. เพื่อหารือว่าจะขยายเวลาการปรับลดการผลิตน้ำมันโดยสมัครใจ 2.2 ล้านบาร์เรลต่อวันออกไปหรือไม่
นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่คาดว่า การปรับลดการผลิตในปัจจุบันจะถูกขยายเวลาออกไปจนถึงอย่างน้อยที่สุดในช่วงสิ้นเดือนก.ย.