สัญญาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส (WTI) ตลาดนิวยอร์กปิดลบเล็กน้อยในวันพฤหัสบดี (18 ก.ค.) ท่ามกลางการซื้อขายที่ผันผวน โดยนักลงทุนชั่งน้ำหนักระหว่างข้อมูลที่บ่งชี้ถึงการชะลอตัวของเศรษฐกิจสหรัฐซึ่งอาจทำให้อุปสงค์น้ำมันอ่อนแอลง และแนวโน้มที่ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จะปรับลดอัตราดอกเบี้ย
ทั้งนี้ สัญญาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือนส.ค. ลดลง 3 เซนต์ หรือ 0.04% ปิดที่ 82.82 ดอลลาร์/บาร์เรล
ส่วนสัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ (BRENT) ส่งมอบเดือนก.ย. เพิ่มขึ้น 3 เซนต์ หรือ 0.04% ปิดที่ 85.11 ดอลลาร์/บาร์เรล
กระทรวงแรงงานสหรัฐเปิดเผยว่า ตัวเลขผู้ยื่นขอสวัสดิการว่างงานครั้งแรกเพิ่มขึ้น 20,000 ราย สู่ระดับ 243,000 รายในสัปดาห์ที่แล้ว ซึ่งเป็นระดับสูงสุดนับตั้งแต่วันที่ 12 ส.ค. 2566 และสูงกว่าตัวเลขคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ที่ระดับ 229,000 ราย
ส่วนรายงานสรุปภาวะเศรษฐกิจ หรือ Beige Book จากธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ระบุว่า กิจกรรมทางเศรษฐกิจของสหรัฐขยายตัวเพียงเล็กน้อยในช่วงปลายเดือนพ.ค.จนถึงต้นเดือนก.ค.
จอห์น คิลดัฟฟ์ นักวิเคราะห์จากบริษัท Again Capital ในรัฐนิวยอร์กกล่าวว่า แม้ตัวเลขผู้ยื่นขอสวัสดิการว่างงานบ่งชี้ถึงการชะลอตัวของตลาดแรงงานและเป็นปัจจัยสนับสนุนให้เฟดปรับลดอัตราดอกเบี้ย ซึ่งจะช่วยกระตุ้นความต้องการใช้น้ำมัน แต่อีกด้านหนึ่งนั้น การเพิ่มขึ้นของตัวเลขผู้ยื่นขอสวัสดิการว่างงานส่งสัญญาณถึงการชะลอตัวของเศรษฐกิจเช่นกัน ซึ่งทำให้ตลาดมีความกังวลว่าอาจจะทำให้ความต้องการน้ำมันอ่อนแอลง โดยมุมมองดังกล่าวเป็นปัจจัยที่สกัดแรงบวกของราคาน้ำมัน
นอกจากนี้ คิลดัฟฟ์กล่าวว่า แม้สำนักงานสารสนเทศด้านการพลังงานของรัฐบาลสหรัฐ (EIA) รายงานว่าสต็อกน้ำมันดิบรายสัปดาห์ของสหรัฐลดลง 4.8 ล้านบาร์เรล ซึ่งมากกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ แต่สต็อกน้ำมันเบนซินพุ่งขึ้น 3.3 ล้านบาร์เรล สวนทางกับที่นักวิเคราะห์คาดว่าจะลดลงเพียง 1.7 ล้านบาร์เรล ซึ่งข้อมูลดังกล่าวเป็นอีกหนึ่งในปัจจัยที่สกัดแรงบวกของราคาน้ำมัน