สัญญาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส (WTI) ตลาดนิวยอร์กปิดลบติดต่อกันเป็นวันที่สองในวันจันทร์ (22 ก.ค.) เนื่องจากนักลงทุนวิตกกังวลเกี่ยวกับสต็อกน้ำมันที่ปรับตัวสูงขึ้น ซึ่งเป็นสัญญาณบ่งชี้ถึงอุปสงค์ที่อ่อนแอลง
ทั้งนี้ สัญญาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือนส.ค. ลดลง 35 เซนต์ หรือ 0.44% ปิดที่ 79.78 ดอลลาร์/บาร์เรล
ส่วนสัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ (BRENT) ส่งมอบเดือนก.ย. ลดลง 23 เซนต์ หรือ 0.28% ปิดที่ 82.40 ดอลลาร์/บาร์เรล
ในช่วงแรกนั้น นักลงทุนมีปฏิกิริยาต่อข่าวที่ว่าประธานาธิบดีโจ ไบเดน ผู้นำสหรัฐ ประกาศถอนตัวจากการลงสมัครชิงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐในปี 2567 และสนับสนุนนางคามาลา แฮร์ริส รองประธานาธิบดีสหรัฐ ให้เป็นตัวแทนพรรคเดโมแครตเพื่อลงชิงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐในเดือนพ.ย.ปีนี้ แข่งกับนายโดนัลด์ ทรัมป์ ตัวแทนจากพรรครีพับลิกัน
แต่หลังจากนั้นนักลงทุนมองข้ามข่าวดังกล่าว และหันมาให้ความสนใจกับอุปสงค์และอุปทานน้ำมัน โดยอเล็กซ์ โฮด นักวิเคราะห์จากบริษัท StoneX ระบุว่า สต็อกปิโตรเลียมทั่วโลกปรับตัวเพิ่มขึ้นในสัปดาห์ที่แล้ว ขณะที่สต็อกน้ำมันและผลิตภัณฑ์น้ำมันกลั่นในศูนย์กลางการค้าที่สำคัญเกือบทุกแห่งมีแนวโน้มปรับตัวสูงขึ้น ยกเว้นในยุโรป
นโยบายพลังงานมีแนวโน้มที่จะเป็นหัวข้อการดีเบตระหว่างนางแฮร์ริสและนายทรัมป์ แต่นักวิเคราะห์ของซิตี้กรุ๊ปเชื่อว่า ผู้เข้าชิงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐทั้ง 2 คนนี้อาจจะไม่ได้ชูนโยบายส่งเสริมภาคพลังงานที่จะมีผลกระทบต่อการดำเนินงานด้านน้ำมันและก๊าซ
จิโอวานนี สตาโนโว นักวิเคราะห์ของ UBS กล่าวว่า จีนซึ่งเป้นผู้นำเข้าน้ำมันรายใหญ่ได้สร้างความประหลาดใจให้กับตลาดด้วยการประกาศลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายระยะสั้นและปรับลดดอกเบี้ยเงินกู้ลูกค้าชั้นดี (LPR) เมื่อวานนี้ แต่จีนปรับลดอัตราดอกเบี้ยน้อยเกินกว่าที่จะเป็นปัจจัยหนุนราคาน้ำมัน
นักลงทุนจับตาการประชุมของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ในวันที่ 30-31 ก.ค.นี้ โดยคาดว่าที่ประชุมจะคงอัตราดอกเบี้ยไว้ที่ระดับเดิม แต่คาดว่าคณะกรรมการเฟดจะตัดสินใจปรับลดอัตราดอกเบี้ยในการประชุมเดือนก.ย.